วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

อาณาเขตแห่งตัวตน (Ego Boundary)-2


               เราลองมาดูสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตคู่ทั่วๆไปกันบ้างนะครับ
               
               เวลาที่เกิดความขัดแย้งระหว่างภรรยาสามี หลายครั้งเกิดจากการใช้คำพูดที่ไม่เหมาะสมของฝ่ายหนึ่ง ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่พอใจและมีปฏิกิริยาตอบโต้ เริ่มด้วยการโต้เถียงกันไปมา ความรุนแรงเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นสงครามน้ำลายได้สักพัก ทั้งสองฝ่ายอาจสงบศึกกันไปเองโดยการเงียบลงของฝ่ายหนึ่ง แต่หากต่างฝ่ายยังไม่หยุด ความรุนแรงจะเพิ่มมากขึ้นถึงขั้นที่ฝ่ายหนึ่งควบคุมอารมณ์ไม่ได้อีกต่อไป และปลดปล่อยอารมณ์ออกมาในลักษณะต่างๆ เช่น ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง ร้องกรี๊ดลั่นบ้าน ขว้างปาข้าวของ ทำร้ายร่างกายอีกฝ่ายหรือตนเอง จนถึงขั้นรุนแรงที่สุดคือ การฆาตกรรม ฆ่าตัวตาย หรือทั้งสองอย่าง
               หากเราลองมองเหตุการณ์ย้อนหลังจะพบความจริงว่า ความขัดแย้งต่างๆในครอบครัวมักเริ่มต้นจากคำพูดในเชิงลบ เช่น ตำหนิ ต่อว่า ด่าทอ ข่มเหง ข่มขู่ ซึ่งก็คือรูปแบบหนึ่งของ การรุกล้ำอาณาเขตแห่งตัวตน ของอีกฝ่ายนั่นเอง จากนั้น กลไกทางจิต (Mental / Defense mechanism) ของอีกฝ่ายจะถูกกระตุ้นให้ทำงานเพื่อปกป้องตนเอง ซึ่งมีอยู่ 3 ทางเลือกคือ
                                 1.  สู้ (Fight)   2.  สยบยอม (Freeze)   3.  หนี (Flight)
                
จะเลือกแบบไหนขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพของผู้นั้น
    1. หากเป็นคนแข็ง ยอมหักไม่ยอมงอ ก็จะโต้ตอบกลับไปเต็มที่ ไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตาต่อตาฟันต่อฟัน กล้าได้กล้าเสีย วัดใจกันไปเลย คนกลุ่มนี้ใช้กลไกทางจิตที่เรียกว่า การสู้ (Fight)
    2. ถ้าเป็นคนจิตใจอ่อนแอ ตกใจง่าย ไม่สู้คน ก็จะเป็นฝ่ายนิ่งเฉย หรือเพียงแค่ร้องไห้เสียใจ ในที่สุดก็ยอมจำนนทนอยู่กับคู่ครองต่อไปเพื่อความอยู่รอดทางกายภาพ กลไกทางจิตแบบนี้คือ การสยบยอม (Freeze)
    3. ในกรณีที่ได้พยายามแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการต่างๆแล้วไม่ได้ผล เล็งเห็นว่าการทนอยู่ต่อไปไม่เกิดประโยชน์อันใด มีแต่ความทุกข์ระทม ประตูหน้าต่างทุกบานปิดตายก็จะเลือกออกทางหลังคา ยอมเป็นฝ่ายหนีไปจากที่นั้นสู่ชีวิตใหม่ ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งเลือกการทำร้ายตนเอง หรือฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหาและความทุกข์ใจต่างๆ กลไกทางจิตเช่นนี้ก็คือ การหนี (Flight)
               
               แต่หากเป็นคนที่จิตใจเยือกเย็น มีวุฒิภาวะสูง จะตั้งสติได้ดี เลือกที่จะนิ่งเงียบสักครู่เพื่อจับประเด็นให้ได้ว่าอีกฝ่ายเขากำลังไม่พอใจเรื่องอะไร เพราะอะไร เกิดจากความเข้าใจผิดหรือไม่ รอจังหวะที่จะพูดเพื่อทำความเข้าใจ มีความยืดหยุ่น เลือกใช้คำพูดที่อีกฝ่ายฟังแล้วรู้สึกสบายใจขึ้น หรือโกรธน้อยลง ประเมินอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ถูกต้อง และสามารถตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมว่า ควรจะพูดหรือทำอย่างไรต่อไปในสถานการณ์เช่นนั้น ไม่ใช่การสงบนิ่งในความหมายของการสยบยอม (Freeze) หรือยอมแพ้โดยไม่ต่อสู้ แต่เป็นการใช้กลยุทธ์แบบรอคอยจังหวะ ไม่กระทบต่อตัวตน (ego) หรือ ศักดิ์ศรี (dignity) ของทั้งสองฝ่าย หากจะรู้สึกบ้างก็สามารถยอมรับได้ นับเป็นการแก้ปัญหาแบบประนีประนอม ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงในหลายสถานการณ์และให้ผลดีในระยะยาว

ชีวิตคู่ คือ เราเท่านั้นหรือ ?             
               บ่อยครั้งที่ปัญหาในชีวิตคู่เกิดจากการที่ฝ่ายหนึ่ง คิด และ รู้สึก แทนอีกฝ่ายหนึ่ง ด้วยเหตุผลนานาประการ เช่น 
  • ต้องการแสดงความห่วงใยให้อีกฝ่ายรับรู้ เพื่อเขาจะได้รักเรามากขึ้น
  • ต้องการสื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่า ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอเป็นอย่างดี” “ฉันรู้นะว่า เธอคิดอะไรอยู่
  • เกิดจากกการเรียนรู้ผิดๆของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือทั้งสองฝ่ายเกี่ยวกับความรักว่า รักแท้ย่อมเข้าใจในรักคือ ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันไปเสียหมดทุกเรื่อง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเราทุกคนต่างก็มีอาณาเขตแห่งตัวตน (ego boundary) ด้วยกันทั้งนั้น

              สิ่งที่คู่รักต้องเข้าใจตรงกันก็คือ ชีวิตคู่ ต้องประกอบด้วย เรา” “ฉันและเธอไม่ใช่มีแต่ เราเท่านั้น เป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างมหันต์สำหรับคู่รักโดยทั่วไปที่คิดว่า เราต้องเสียสละความเป็นส่วนตัวโดยสิ้นเชิงหลังชีวิตแต่งงาน มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดเช่นนี้จนไม่กล้าที่จะรักใคร   
             
              หากเปรียบคนเราเป็นบ้าน ทุกบ้านต้องมีรั้วกั้นเพื่อกำหนดอาณาเขตที่ชัดเจน แต่เพื่อนบ้านจำนวนไม่น้อยมักไม่ค่อยจะถูกกัน บางคนมีนิสัยเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐาน จึงคอยเอาเปรียบเล็กๆน้อยๆหรือทำอะไรไม่เข้าท่า เช่น จูงสุนัขของตัวเองไปถ่ายหน้าบ้านคนอื่น เปิดเพลงดังๆเผื่อข้างบ้าน บีบแตรรถอย่างดังยามวิกาลเพื่อเรียกคนรับใช้มาเปิดประตูบ้าน ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนเข้าข่าย รุกล้ำอาณาเขตส่วนบุคคล ของคนอื่นทั้งสิ้น
              
              สำหรับ ตัวตนของแต่ละคนนั้น เส้นแบ่งเขตเป็นเพียงนามธรรมเท่านั้น ทำให้เกิดปัญหาล้ำเส้นกันได้ง่ายกว่ารั้วบ้าน ในชีวิตประจำวัน เราจึงมักรู้สึกว่า อาณาเขตแห่งตัวตนของเราถูกกระทบหรือรุกล้ำอยู่บ่อยๆ  
              
                แล้วจะมีหลักเกณฑ์อย่างไรในการกำหนด อาณาเขตแห่งตัวตนระหว่างเรากับคนรักของเรา เพื่อป้องกันไม่ให้มีการรุกล้ำเขตแดนกัน ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม
      
                เส้นแบ่งอาณาเขตแห่งตัวตนระหว่างคู่รักนั้น ควรมี 2 ลักษณะ คือ
1.  แข็งแกร่ง เพื่อให้สามารถปกป้องตัวตนของทั้งสองไม่ให้อีกฝ่ายล่วงล้ำเข้ามาได้
2.  ยืดหยุ่น สามารถให้กระแสความคิด อารมณ์ความรู้สึก รวมถึงคำพูดและการกระทำของทั้งสองฝ่ายซึมผ่านไป
     มาได้อย่างอิสระและเท่าเทียมกัน
                   
                 เส้นแบ่งเขตทั้งสองแบบนี้จะเกิดเป็นจริงได้ จำเป็นต้องมีการกำหนดกติกาเป็นหลักปฏิบัติสำหรับชีวิตคู่ เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆที่จะเกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
                 
                 ในที่นี้ ขอเสนอตัวอย่าง กติกาชีวิตคู่ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมที่เป็น ของเรา ของฉัน และ ของเธอให้ท่านพิจารณาและเลือกนำไปทดลองปฏิบัติ โดยสามารถปรับแต่งได้ตามความเห็นพ้องของทั้งสองฝ่ายต่อไป

กิจกรรมที่เป็น ของเรา
·  อุทิศเวลาให้แก่กันและครอบครัวอย่างสม่ำเสมอ โดยสามารถยืดหยุ่นได้ตามสถานการณ์
·  วางแผนชีวิตร่วมกัน เช่น การสร้างฐานะ สร้างอนาคตให้ลูก ไม่โยนภาระหน้าที่บางอย่างให้ฝ่ายเดียว เช่นการอบรมเลี้ยงดูลูก พ่อควรมีบทบาทที่ไม่น้อยกว่าแม่  ความคิดที่ว่า สามีเป็นคนหาเงิน ทำงานหนักกว่าภรรยา งานเลี้ยงลูกจึงควรเป็นหน้าที่ของภรรยาคนเดียว ถือเป็นความเข้าใจที่ผิด และอาจส่งผลเสียอย่างมากจนเกินแก้ไขในระยะยาว ถึงแม้ภรรยาจะเป็นแม่บ้านเต็มตัวก็ตาม เพราะลูกๆของท่านต้องการทั้งแม่และพ่อ
·    แสดงความเอื้ออาธรต่อกันในสถานการณ์ต่างๆ เช่น ยามเจ็บป่วย เวลามีเรื่องเครียดจากที่ทำงานหรือเรื่องทุกข์ใจต่างๆ
·    ปรึกษาหารือกันเวลาเกิดปัญหาในครอบครัวโดยไม่โยนความผิดให้อีกฝ่ายหนึ่ง
·    ให้อภัยซึ่งกันและกัน หากมีข้อสงสัยไม่แน่ใจ สามารถถามไถ่กันได้โดยอีกฝ่ายไม่ควรแสดงความไม่พอใจหรือโกรธเคืองกัน
·    ไม่มีความลับระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อครอบครัวโดยตรง เช่น ภาวะหนี้สิน การถูกคดโกง ตรวจพบโรคร้าย แฟนเก่าโทรฯมาคุยหรือพยายามติดต่อผ่านทาง facebook  กรณีหลังนี้ถือเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะถึงแม้จะไม่มีเรื่องชู้สาว แต่คนรักปัจจุบันจะเกิดความหึงหวงรุนแรงได้ ควรให้เขาหรือเธอรับรู้ด้วยการแสดงความบริสุทธิ์ใจของคุณและยืนยันว่าคุณไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม อย่าลืมว่า ความลับไม่มีในโลก หากคุณยังไม่ตัดให้ขาด สักวันหนึ่งอาจเกิดความผิดพลาดจนยากต่อการแก้ไข (รายละเอียดอยู่ในบท ชู้ทางใจ”)

กิจกรรมที่เป็น ของฉันและของเธอ
คือ การเคารพในสิทธิความเป็นส่วนตัวของกันและกัน ไม่ละลาบละล้วงในเรื่องส่วนตัว เช่น
                   -  ไม่ตรวจเช็คมือถือของคนรักเพื่อค้นหาว่าได้โทรหากิ๊ก หรือผู้ต้องสงสัยรายใดบ้าง
                   -  ไม่ตรวจเช็ค E-mail , facebook      หรือช่องทางการสื่อสารอื่นๆ
                   -  ไม่ค้นลิ้นชักโต๊ะทำงานส่วนตัวหรืออ่านสมุดโน้ต บันทึกส่วนตัว
                   -  ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว เช่น การทำงาน ปัญหาระหว่างญาติพี่น้องของอีกฝ่าย
                   -  ยอมรับในตัวตนของเขาว่า เขาก็เป็นคนเช่นนั้นเอง และเป็นมาก่อนที่จะรู้จักคุณ ในเมื่อคุณตัดสินใจเลือกเขาแล้ว แสดงว่าคุณยอมรับในตัวเขา หากคุณเลือกเขาเพราะคิดที่จะเปลี่ยนนิสัยหรือข้อเสียบางอย่างของเขาในภายหลัง นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างมหันต์ของคุณเอง

                        มีทางเลือกอยู่เพียงสองทางเท่านั้นที่คุณทำได้ในตอนนี้คือ
             1. เปลี่ยนความคิดของคุณเสียใหม่ หรือ
             2. เปลี่ยนคนรักใหม่

                    -  สำหรับคนที่ยังไม่มีความรัก ต้องระวังความคิดเช่นนี้ของตัวเอง และควรค้นหาคนรักต่อไปจนกระทั่งพบความจริงสองประการคือ
             1. คนๆนั้นไม่มีอยู่จริง
             2. คนๆนั้นมีอยู่จริง แต่มีเจ้าของแล้ว
                    -  ให้โอกาสซึ่งกันและกันในการทำกิจกรรมที่ชอบ ไม่บังคับอีกฝ่ายให้ทำในสิ่งที่คุณชอบโดยที่เขาไม่ชอบ

                  ข้อควรจำ
                 
                 เราทุกคนล้วนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง………ซึ่งเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก 
                  เราจึงไม่สามารถเปลี่ยนนิสัย หรือบุคลิกภาพของใครได้…… แม้แต่ของตัวเราเอง
                  การเลือกคนรักโดยหวังว่าจะเปลี่ยนแปลงนิสัยบางอย่างของเขาหรือเธอ ให้เป็นอย่างที่เรา
                  ต้องการ  จึงเป็นความเข้าใจผิดที่นำหายนะมาสู่ชีวิตคู่ในภายหลัง
                  สิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างจริงจังคือ ความเหมือนและความแตกต่างของกันและกันนั้น
                  เป็นสิ่งที่เราต้องการและยอมรับได้หรือไม่……โดยไม่หลอกตัวเอง

ไม่มีความคิดเห็น: