วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด


            คนเราใช้ ความสุข เป็นตัวกำหนด การกระทำ  มีการทดลองเพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า ในสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว  คนเรามักเลือกสิ่งที่คิดว่าจะทำให้มีความสุขที่สุดโดยไม่ใส่ใจถึงผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้น แต่คนเราก็ไม่ได้ตกเป็นทาสของความพึงพอใจแบบที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสมอไป อีกทั้งยังสามารถรอคอยสิ่งที่จะทำให้มีความสุขได้มากกว่าและยั่งยืนกว่า  " หากมีการเรียนรู้อย่างถูกต้อง "
            
            โชคไม่ดีที่ความสุขโดยตัวของมันเองนั้นเกิดขึ้นได้ไม่นานก็หายไป คนเราจึงต้องการแสวงหาความสุขกันอยู่เรื่อยไปจนเกิดเป็นวงจร สุข-พอใจ-หมดสุข-ทุกข์ใจ-แสวงหา-สุข….เช่นนี้เรื่อยไปไม่จบสิ้น มนุษย์จึงไม่สามารถมีความสุขอย่างยั่งยืน ความสุข ความพึงพอใจมีจุดเริ่มต้นจากความต้องการที่จะได้รับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ตัวอย่างเช่น  เราจะรู้สึกพึงพอใจกับการดื่มน้ำเย็นๆสักแก้วก็ต่อเมื่อเรารู้สึกกระหายน้ำ แต่ทันทีที่ความกระหายหมดไป เราก็จะไม่รู้สึกอะไรกับน้ำเย็นที่ดื่มอีก  หากเราไม่ตกอยู่ในอันตราย เราก็จะไม่คิดหาทางป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับสิ่งที่เรามีอยู่  จึงอาจกล่าวได้ว่า ความพึงพอใจทางกายภาพ ซึ่งได้รับจากประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น สัมผัส นั้น เป็นเพียงความสุขหรือความสนุกสนานที่เกิดขึ้นเพียงชั่วคราว  เมื่อใดที่มันลดลงเราจึงรู้สึกไม่สุข ไม่สนุก นานเข้าก็กลายเป็นความทุกข์ เหตุนี้ มนุษย์ส่วนใหญ่จึงดำเนินชีวิตอยู่ด้วยการเสพความสุขและความสนุกสนาน โดยอาศัยตัวกระตุ้นที่ต่างกัน  เงิน รางวัล ความสำเร็จ ตำแหน่ง ชื่อเสียง การยอมรับ  แม้แต่ความรัก จะกลายเป็นสิ่งเสพติดได้ทันทีหากเรารู้ไม่เท่าทันและเสพมันอย่างขาดสติ คุณได้เรียนรู้จากหัวข้อ สารเคมีและฮอร์โมนแห่งรัก มาแล้วว่า ความสุขที่เกิดขึ้นจากตัวกระตุ้นเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาทางเคมีในสมองที่เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น เมื่อพวกมันหมดฤทธิ์เราก็ต้องแสวงหาตัวกระตุ้นเดิมๆ ด้วยพฤติกรรมเดิมๆอีก  
  • หลายชีวิตที่จบลงคาเข็มฉีดยาเสพติด  
  • เด็กหนุ่มที่ฟุบตายหน้าจอคอมพิวเตอร์เพราะเล่นเกมส์ข้ามวันข้ามคืน  
  • ผีการพนันที่นำหายนะมาสู่ตนเองและครอบครัว 
  • คนเสพติด sex ที่รับเชื้อ HIV เพิ่มอยู่ตลอด  
  • ผู้ปกครองเสพติดอำนาจในหลายประเทศที่กลายเป็นฆาตกรสั่งฆ่าเพื่อนร่วมชาติได้อย่างเลือดเย็น 
  • สุดท้ายคือ คนเสพติดรัก ที่ต้องสังเวยชีวิตตัวเอง อาจรวมถึงชีวิตคนรักทั้งเก่าและใหม่         
              มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่มนุษยชาติจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข หนทางนั้นก็คือ การยอมก้าวออกจากวิถีชีวิตเดิมๆที่เต็มไปด้วยสารพัดสิ่งเสพติด ไปสู่ชีวิตใหม่ที่มีอิสรภาพอย่างแท้จริง คือ

                                                     
                                                     " ชีวิตที่ไม่เสพติดอะไรเลย "

วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2555

รักอย่างไรให้สมหวัง (4)


ต่อไปนี้คือ สิ่งที่ไม่ควรทำกับคนรักของคุณ โดยแยกออกเป็น 3 ส่วนคือ
1.  ความคิด
     1.1 ผู้ชายส่วนใหญ่คิดว่าตนเองสำคัญกว่า เก่งกว่าผู้หญิง เพราะทำงานเหนื่อยกว่า รับผิดชอบครอบครัวมากกว่า สุดท้าย…… เพราะเป็นเพศที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นทัศนคติผิดๆและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาความรักไปสู่ระดับที่สูงขึ้น (ดูเรื่องสมองของผู้หญิงกับผู้ชายต่างกันอย่างไร)

     1.2 ขี้ระแวงสงสัย ไม่ไว้ใจ มักเป็นฝ่ายหญิง……..อันเนื่องมาจากพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจของฝ่ายชาย เรื่องนี้ดูเหมือนว่ามีความเป็นสากลอยู่มาก เพราะเคยจดประโยคถูกใจภาษาอังกฤษไว้ในสมุดบันทึกส่วนตัวสมัยหนุ่มๆ 

“Women are like the police. They can have all the evidence in the world, but they still want the confession”

พวกผู้หญิงก็เหมือนตำรวจ ต่อให้มีพยานหลักฐานครบถ้วนทุกอย่างแล้ว ก็ยังต้องการคำรับสารภาพอยู่ดี

      1.3  ผู้ชายคิดว่า ผู้หญิงมีหน้าที่เลี้ยงลูก ทำงานบ้าน ทำอาหาร ผู้ชายหาเงิน
                 ผู้หญิงคิดว่า ผู้ชายมีหน้าที่แก้ไขพฤติกรรมของลูก

      1.4  ผู้ชายคิดว่าตนเองมีสิทธิที่จะทำสิ่งที่ผู้หญิงทำไม่ได้ เช่น การมี sex นอกสมรส  

2. อารมณ์ ต่อไปนี้เป็นอารมณ์ที่มักนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างคนรัก และทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เสมอ

       2.1  หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย หาเวลาอารมณ์ดีได้ยาก
       2.2  เวลาโกรธมักไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ใช้วิธีทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนรัก หรือขว้างปาสิ่งของ
       2.3  หึงหวง เจ้าอารมณ์ ไม่ยอมฟังคำอธิบายใดๆ      
       2.4  เป็นคนไร้อารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์ขัน
       2.5 อารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย 
       2.6 อารมณ์ทางเพศต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ไม่ตอบสนองอารมณ์ทางเพศให้แก่คนรักอย่างเหมาะสม

3.  พฤติกรรม
    3.1  จู้จี้ ขี้บ่น พูดมาก พูดไม่หยุด พูดซ้ำๆซากๆ ไร้สาระ เสียดสี เหน็บแนม ดูถูกเหยียดหยาม ตำหนิติเตียน โกหกหลอกลวง และคำพูดในเชิงลบอื่นๆทั้งหมด
    3.2  เอาแต่ใจ ขี้งอน เกรี้ยวกราด
     3.3 ให้คนรักซื้อสิ่งของราคาแพงหรือฟุ่มเฟือยให้ ชอบทำตัวเป็นคนมีรสนิยมสูงทั้งๆที่มีรายได้น้อย
     3.4  เช็คมือถือ, e-mail, face book, ค้นลิ้นชักหาหลักฐาน ฯลฯ
    3.5  เปรียบเทียบกับแฟนเก่า
     3.6 สวมบทบาทพนักงานสอบสวนเวลาจะนอน
แต่ละข้อดูเหมือนจะเป็นคุณสมบัติของผู้หญิงมากกว่าผู้ชายนะครับ (ขอเข้าข้างเพศเดียวกันบ้าง)

            งานวิจัยหนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ปัจจัยที่ทำให้รักยืนยาว (Alexander & Higgins, 1993) พบว่า มีอยู่ 4 ประการ คือ
      1.  ภรรยายังคงมีความรู้สึกรักในแบบเสน่หาต่อสามี (Passionate love)
      2.  ภรรยาและสามี มีกิจกรรมต่างๆร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ เช่น งานอดิเรก การออกกำลังกาย การเล่นกีฬา การพักผ่อน 
                 การเดินทางร่วมกันในโอกาสต่างๆ (ธุรกิจ พักผ่อน) งานการกุศล
      3.  เป็นคนมีอารมณ์ขันด้วยกันทั้งคู่
      4.  มีความสุขและพึงพอใจในความสำเร็จของลูกๆ

         ส่วนปัจจัยที่ทำให้ชีวิตรักไม่มีความสุข หรือล่มสลาย พบว่า มีอยู่  5 ประการ คือ
      1.  ความไม่ซื่อสัตย์ (การนอกใจ) รวมทั้ง ความหึงหวงที่เกิดจากความระแวง
      2.  ไม่มีการประนีประนอม (ทำนอง รักสั้นให้ต่อ นั่นไง)
      3.  ขาดทักษะการเจรจาสื่อสารฉันภรรยาสามี
      4.  ค้นพบความแตกต่างกันในเรื่องต่างๆตามอายุที่มากขึ้น
      5.  ความไม่สมหวัง/พึงพอใจในเรื่องเพศสัมพันธ์               

         นอกจากนั้น ยังพบอีกว่า คู่รักที่มีความสุขโดยทั่วไป พวกเขามักมีหลายสิ่งที่เหมือนกัน เช่น
      1.  ไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้ง หรือมีก็พยายามหลีกเลี่ยง (ทำนอง รักยาวให้บั่น นั่นเอง)
      2.  เป็นคนใจบุญ ชอบช่วยเหลือไม่ว่ากับคนหรือสัตว์
      3.  ห่วงใยและดูแลคนรักอย่างเต็มที่ยามเจ็บป่วย
      4.  สามารถอยู่คนเดียวได้เมื่อจำเป็น
      5.  มีเพื่อนดีและมีกิจกรรมทางสังคมกับเพื่อนๆ
      6.  สนใจเรื่องเดียวกันหรือใกล้เคียงกัน (ทำให้มีเรื่องคุยกันได้ตลอด และไม่ขัดคอกันด้วย)              
         
                        ดูไปแล้วสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ล้วนเป็นเรื่องสามัญสำนึก (Common sense) แต่มักถูกมองข้ามไป จะด้วยสาเหตุใดก็คงต้องฝากให้พิจารณากัน ผมเองคิดว่า เกิดจากเราทุกคนมีความอยาก ความต้องการที่ไม่รู้จักพอ จึงมีความร้อนรุ่มที่จะมีเพิ่ม หาเพิ่มอยู่เรื่อยๆ การแบ่งปันกลายเป็นความทุกข์และความอึดอัด เห็นใครมีมากกว่าก็อิจฉา คอยนินทาว่าร้ายคนอื่น นานไปจึงกลายเป็นคนที่มองโลกในแง่ร้าย ไม่เป็นมิตร จิตใจไม่เคยสงบเพราะโลภอยู่ตลอด คนที่ไปถึงจุดแห่งความ พอได้ก่อนจึงจะมีความสุขก่อน เสมือนหนึ่งเดินเข้าเส้นชัยแห่งถนนชีวิตก่อนในขณะที่ยังมีชีวิต ไม่ต้องรอวันตาย เพราะถึงวันนั้น ทุกอย่างก็สายเสียแล้ว ถึงลูกหลานจะทำพิธีกรรมส่งสิ่งของไปให้ใช้ในภพอื่น ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะไปถึงหรือไม่

สรุป
                การเลือกคู่ครอง เป็นเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตของเรา เสน่ห์ทางเพศ เป็นเพียงประตูบานแรกที่เปิดออกต้อนรับรัก แต่ไม่ว่าคุณจะมีเสน่ห์ทางเพศครบทุกองค์ประกอบก็ตาม หากไม่มีเสน่ห์หรือใช้สิ่งดีที่มีอยู่อย่างไม่ถูกต้องเสียแล้ว ทุกอย่างก็แทบจะหมดความหมาย สัจจะธรรมแห่งรักคือ ความรักไม่เคยง่าย หากง่ายก็ไม่ใช่ความรักที่แท้จริง ในขณะที่เรากำลังมีความรัก เราอาจมีสติรับรู้ในสิ่งที่กำลังทำอยู่เพียงบางส่วนเท่านั้น ที่เหลือเป็นเรื่องของสัญชาติญาณ แรงขับจากฮอร์โมนเพศ ทัศนคติ และแรงกดดันจากสังคม เราจึงควรมีความตระหนักอยู่ตลอดเวลาว่า
  
                     “ความรักของเราอาจไม่ยั่งยืน
                                                หากไม่รู้จักวิธีบริหารเสน่ห์ทางเพศ
                                                                ด้วยความมีเสน่ห์ของเราอย่างเหมาะสม

 บทต่อไปเป็นบทสุดท้ายแล้ว ล่ำลากันตามสมควรนะครับ ขอใช้หัวข้อว่า สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด

รักอย่างไรให่สมหวัง (3)


4.  การให้อภัย (Forgiveness)
          การที่คนสองคน ซึ่งมีความแตกต่างกันในหลายๆด้านมาอยู่ด้วยกัน ย่อมจะต้องมีปัญหากระทบกระทั่งกันบ้าง  สิ่งที่ควรคำนึงถึงก่อนตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกันคือ การพิจารณาอย่างรอบคอบถึงศักยภาพในการแก้ปัญหาทั้งของตัวเองและคนรัก
           คนโดยทั่วไปเวลาทำอะไรผิดพลาดมักหาข้อแก้ตัวเป็นประจำ  หากอีกฝ่ายหนึ่งใช้วิธีการตำหนิติเตียนหรือทำร้ายร่างกายเพราะความโกรธ ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่กลับทำให้ปัญหาบานปลายออกไป  คำถามคือ พวกเขายังรักกันหรือไม่  ถ้ายังรักกัน ทำไมถึงไม่เลือกวิธีอื่นที่สร้างสรรค์กว่า 
             
          ต่อไปนี้เป็นแนวปฏิบัติที่ผมอยากฝากให้พิจารณาครับ
         1. ถามตัวเองว่า คุณรักเขาหรือไม่ อย่าถามว่า เขารักคุณหรือไม่ เพราะคุณไม่สามารถบังคับให้ใครรักคุณได้หากคุณไม่ทำตัวให้น่ารัก
            2.  ฝ่ายที่ทำผิดพลาด จะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ควรที่จะกล่าวคำ ขอโทษก่อนที่จะถูกทวงถาม หรือรอจนกระทั่งอีกฝ่ายแสดงความไม่พอใจออกมา
         3. อีกฝ่ายหนึ่งตอบรับด้วยการ ให้อภัย ทั้งคำพูดและการแสดงออก ไม่พยายามขุดคุ้ยเรื่องเดิมขึ้นมาอีก หลีกเลี่ยงคำพูดส่อเสียด เหน็บแนม
                   ปัญหาเกิดขึ้นเพราะ ฝ่ายที่ทำผิดพลาดไม่ยอมรับผิด ซึ่งอาจเป็นเพราะเขาหรือเธอไม่คิดว่า สิ่งที่ทำนั้นเป็นความผิดหรือไม่เหมาะสม หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องเสียหน้า เสียศักดิ์ศรี โดยเฉพาะฝ่ายชายในวัฒนธรรมเอเชียที่คิดว่าตัวเองมีศักดิ์ศรีสูงกว่าเพศหญิง ผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัวเพียงคนเดียวคิดว่าตัวเองมีความสำคัญกว่าทุกคน ตัวเองใหญ่ที่สุดในบ้านจึงไม่จำเป็นต้องขอโทษใคร ความคิดเช่นนี้ไม่มีส่วนไหนเลยที่เรียกได้ว่าเป็น ความรัก แต่เป็น ความเห็นแก่ตัว โดยแท้ และทำให้ความรักจากอีกฝ่ายหนึ่งน้อยลงไปเรื่อยๆ
              4. ฝึกพูดคำว่า ขอโทษ” “ขอบคุณบ่อยๆจนติดปาก เพื่อให้เกิดความเคยชิน สามารถพูด
                          ออกไปได้ในสถานการณ์อันเหมาะสมโดยอัตโนมัติ
                          
                  ทุกครั้งที่ท่านรู้สึกโกรธ ผิดหวัง เสียใจ น้อยใจ ในตัวคนรัก ขอให้ท่านยึดภาษิตไทยที่ว่า รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อซึ่งเป็นประโยคที่ซ่อนความหมายไว้อย่างแยบยล ดังนี้
               
                              รักยาวให้บั่นทิ้งเสียซึ่งความขัดแย้ง และความไม่พอใจทั้งปวง
                              รักสั้นให้ต่อความยาวสาวความยืด พูดไม่จบ ชวนทะเลาะ
              
     5.  การให้เกียรติกัน (Respect)
                เป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ปัญหามักเกิดจาก
1.   ให้เกียรติฝ่ายเดียว ในวัฒนธรรมทางตะวันออก มีความเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ที่ว่า ฝ่ายหญิงมักเป็นฝ่ายที่ต้องให้เกียรติฝ่ายชาย ทำให้เกิดอัตตาและเสพติดเกียรติปลอมๆ คาดหวังที่จะได้รับเกียรติจากฝ่ายหญิงตลอดเวลา
2.    ต่างฝ่ายต่างไม่ให้เกียรติกัน เพราะความรู้สูงด้วยกันหรือมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต เมื่อกลับมาบ้านก็ยังไม่ยอมถอดหมวกออกด้วยกันทั้งคู่