วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

การพึ่งพา


ทำไมคนเราจึงรักกัน
             เป็นคำถามที่ฟังดูแปลกๆและอาจกวนใจบางคน แต่ผมคิดว่าตอบไม่ง่ายอย่างที่คนทั่วไปคิดหรอกครับ ไม่เชื่อคุณลองถามเพื่อนๆดู แต่ขอให้เป็นเพื่อนสนิทสักหน่อยเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง แล้วคุณจะพบความจริงที่น่าตื่นเต้นว่า คำตอบทำไมจึงได้มากมายเหลือเกิน ทั้งตื้นเขินและล้ำลึกสุดประมาณ หรือยียวนจนไม่อยากถามต่อ คำถามทำนองนี้มีอีกมากมาย เช่น ความยุติธรรม ความดี ความชั่ว ความถูกต้อง ศีลธรรมอันดีงาม คืออะไร เพราะเราจะพบว่า เรื่องราวเดียวกัน หากเกิดต่างเวลากัน ความหมายย่อมต่างกันไป แม้แต่เกิดในยุคเดียวกันแต่ต่างถิ่นต่างวัฒนธรรมก็ให้ผลต่างกันชนิดขาวเป็นดำได้ ผมจะไม่ยกตัวอย่างในที่นี้ เพราะบางเรื่องมีความเปราะบาง หมิ่นเหม่และอาจกระทบต่อความรู้สึกของคนบางส่วนในสังคม ผมเชื่อมั่นในภูมิปัญญาของผู้อ่านทุกท่านว่าสามารถคิดถึงเรื่องราวต่างๆในสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งในและต่างประเทศได้ไม่ยากจนเกินไป เพียงคิดในใจให้เกิดปัญญา ไม่พูดให้ร้ายใครก็นับว่าเป็นคุณต่อตัวเองระดับหนึ่งแล้ว
                
                กลับมาพูดถึงเรื่องความรักกันต่อดีกว่า
                เมื่อคนสองคนมาพบกัน เกิดรักใคร่ชอบพอกันจนสุดท้ายตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ความต้องการของคู่รักโดยทั่วไปคงคล้ายๆกัน คือ เพื่อสร้างอนาคตร่วมกัน มีลูกด้วยกัน เป็นเพื่อนคลายเหงา เพื่อสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูแลช่วยเหลือกันยามแก่เฒ่า แต่ไม่ว่าจะมีเหตุผลใด สิ่งที่อยู่ลึกลงไปในระดับจิตไร้สำนึกก็คือ เพื่อเติมเต็มให้ชีวิต บางคนอาจคิดว่า ตนเองสามารถอยู่คนเดียวได้โดยไม่ต้องการคนรัก และอาจมีความสุขได้ไม่แพ้กันหรือมากกว่า  ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าก็คือ เรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังความคิดความต้องการเช่นนั้น หากชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นมีพัฒนาการมาอย่างถูกต้องตั้งแต่วัยเด็กเล็กจนถึงวัยที่พวกเขาเริ่มรักเป็น ถ้าไม่ใช่เพราะมีประสบการณ์รักไม่สมหวังมาก่อนซึ่งได้ทิ้งบาดแผลทางใจรุนแรงเอาไว้  ก็ยังเหลือเหตุผลที่เข้าใจได้อีกพอสมควรสำหรับการเลือกอยู่คนเดียว เช่น การมีภาระทางครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบอย่างมากจนไม่มีเวลาหรืออารมณ์ที่จะรักใคร บางคนอาจสนุกกับงานหรือการศึกษาเล่าเรียนจนลืมเรื่องรัก กว่าจะรู้สึกเหงาอยากมีคู่ก็อายุมากแล้ว โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องการมีคู่รักเพียงเป็นเพื่อนคู่ชีวิตในยามสูงวัย ก็จำเป็นต้องลดความต้องการที่จะมีลูกลงไป บางรายเรียนจบแล้วมุ่งมั่นทำแต่งานเพื่อสร้างฐานะ ครั้นพอคิดว่ารวยแล้วอยากมีคู่ ก็กลัวว่าคนที่จะมาเป็นคู่เขารักตัวหรือรักเงิน ถือเป็นทุกข์ลาภแบบหนึ่ง  บ้างก็เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง ต้องการอิสรเสรีอย่างเต็มที่ในการดำเนินชีวิต ไม่ต้องการรับผิดชอบชีวิตใครอีก ไม่ต้องการให้ใครมาวุ่นวาย สูงที่สุดคือ ต้องการนิพาน ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
                 
                 เมื่อพิจารณาคำว่า เติมเต็มให้ชีวิต ให้ถ่องแท้ จะพบความจริงอย่างหนึ่งคือ คนโดยทั่วไปต่างรู้สึกว่า การอยู่คนเดียวชีวิตมันไม่เต็ม มีอะไรบางอย่างขาดหายไป สิ่งนั้นคืออะไร แล้วหายไปอยู่ไหน มันอาจไปอยู่ที่อีกคนหนึ่ง จึงเกิดแรงผลักดันให้ตามหาบุคคลผู้สูญหายคนนั้น  เมื่อได้มาพบกันแล้วต่างฝ่ายต่างรู้สึกตรงกันว่า คนนี้ใช่เลย ก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการศึกษาเรียนรู้ซึ่งกันและกันเพิ่มอีกสักหน่อยเพื่อความมั่นใจ  มีการเติมเต็มส่วนขาดให้แก่กันระยะหนึ่งจนเกิดความรู้สึกต้องพึ่งพากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น หากการพึ่งพากันนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม ความรักจะพัฒนาต่อไปได้อย่างมั่นคง ดังนั้นแล้ว การเติมเต็มให้ชีวิต ก็คือ ความต้องการพึ่งพาซึ่งกันและกัน อันถือเป็นสาระสำคัญของการใช้ชีวิตคู่ นั่นเอง
                
คำถามคือ การพึ่งพาอย่างถูกต้องเหมาะสมนั้น เป็นอย่างไร

Brenda Schaeffer นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านการเสพติด และเป็นผู้ที่คร่ำหวอดอยู่กับงานครอบครัวบำบัด ได้แบ่ง การพึ่งพา ออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ คือ  
                     1.  การพึ่งพาอย่างถูกต้องเหมาะสม
                  หมายถึง การพึ่งพาที่คนทั้งสองมีให้กันแบบทั้งเป็นผู้ให้และผู้รับ ด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม เกิดความพึงพอใจด้วยกันทั้งคู่  คำว่าสัดส่วนนั้นไม่ได้หมายถึงปริมาณที่สามารถวัดได้เป็นรูปธรรม แต่เป็นไปอย่างลงตัวตามความสามารถและเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับชีวิตคู่ เช่น ถึงแม้สามีจะเป็นฝ่ายหารายได้เพียงผู้เดียวก็ตาม แต่ภรรยาก็เป็นแม่บ้านเต็มเวลา ทำหน้าที่ดูแลงานบ้านทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่นอกเหนือจาก การเลี้ยงลูก คนทั้งสองจึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ที่สำคัญคือ ต่างพึงพอใจในบทบาทของตนเองและคู่รักโดยไม่คิดว่าใครสำคัญกว่าใคร
              
              2.  การพึ่งพาอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม
                   หมายถึง การพึ่งพาที่คนทั้งสองมีให้ต่อกันในลักษณะที่คนหนึ่งเป็นฝ่ายให้มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง เกิดจากความคิดและทัศนคติผิดๆ เช่น ฝ่ายชายคิดว่าตนเองมีความสำคัญกว่า เก่งกว่า อยู่เหนือกว่า เพราะหาเงินฝ่ายเดียวหรือหาได้มากกว่า มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงกว่า ชาติตระกูลสูงกว่า หรือเพียงเพราะว่าเป็นเพศชายต้องเป็นช้างเท้าหน้าและเป็นใหญ่ในครอบครัว ซึ่งเป็นทัศนคติที่ล้าสมัยและสร้างปมขัดแย้งให้สามีภรรยาในยุคปัจจุบันอย่างมาก  ส่วนฝ่ายหญิงก็อาจมีทัศนคติผิดๆด้วยเช่นกันคือ ยอมรับทัศนคติ หรือค่านิยมเก่าๆ ยอมเป็นช้างเท้าหลังในทุกๆเรื่อง ปล่อยให้ฝ่ายชายเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง ตนเองเป็นเพียงผู้สนองความต้องการของฝ่ายชายทุกๆเรื่อง ทำตัวไม่ต่างจากคุณแจ๋ว เช่น สามีพูดในลักษณะออกคำสั่งให้ภรรยายกน้ำให้ดื่ม หรือต้องการผลไม้ อาหารว่างทันทีที่กลับถึงบ้าน หากบริการไม่ทันใจก็จะมีวาจาผรุสวาทมอบให้ บางรายต้องคอยตามเก็บเสื้อผ้าใช้แล้วที่คุณชายโยนทิ้งไม่เป็นที่ รวมทั้งสารพัดความสกปรกในชีวิตประจำวัน กรณีเช่นนี้ ฝ่ายชายได้เปลี่ยนสภาพจากผู้รับไปเป็นผู้ออกคำสั่งหรือ ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในขณะที่ฝ่ายหญิงเปลี่ยนจากผู้ให้ปกติเป็น ผู้รับใช้ ไม่ต่างอะไรกับทาสของฝ่ายชาย ซึ่งถือเป็นบทบาทที่ สุดขั้ว ของทั้งสองฝ่ายที่ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นคู่รักกันอีกต่อไป แต่เป็นความสัมพันธ์แบบหัวหน้ากับลูกน้องหรือนายกับบ่าวมากกว่า อย่างไรก็ตาม หากทั้งสองฝ่ายต่างมีความต้องการตรงกันก็ถือเป็นข้อยกเว้นเป็นรายๆไป เขาชอบของเขาอย่างนั้นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา
                
                ลักษณะที่พบได้ในคู่รักแบบ ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ (ซึ่งอาจเป็นฝ่ายหญิงก็ได้ แต่ในสังคมไทยมักเป็นฝ่ายชาย) คือ คิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่าอีกฝ่าย ตัวเองถูกเสมอ โยนความผิดให้ผู้อื่นได้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะคนรัก มีความขี้ระแวงสงสัย โกรธง่าย ไม่อดทน ก้าวร้าว มักอ้างความชอบธรรมในการทำสิ่งต่างๆที่ตนเองต้องการโดยไม่สนใจว่าจะกระทบต่อความรู้สึกของคนรักและความมั่นคงในครอบครัวหรือไม่ เช่น การใช้ชีวิตกลางคืนกับเพื่อนๆ ดื่มเหล้าเมายาหรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ไม่ว่าจะเป็นกิ๊กหรือหญิงบริการ กลับบ้านดึกๆโดยที่อีกฝ่ายไม่มีสิทธิโกรธหรือไม่พอใจ วันหยุดไปเล่นกีฬากับเพื่อนๆ แสวงหาความสุขใส่ตัวแต่เพียงฝ่ายเดียว กลไกทางจิตที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนกลุ่มนี้คือ การโทษผู้อื่น (Projection)   
               
                   ลักษณะที่พบได้ในคู่รักแบบ ผู้รับใช้ (ซึ่งอาจเป็นฝ่ายชายก็ได้) คือ คิดว่าตนเองต่ำต้อยด้อยกว่าคู่รัก เป็นคนไม่มีความสามารถ ไม่มีอะไรดี ไม่รู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง อารมณ์หงอยเหงาเศร้าสร้อยอยู่เสมอ บางครั้งสับสน ละอายใจง่ายเวลาทำอะไรผิดพลาด สงสารตัวเอง ช่วยตัวเองไม่ได้ รู้สึกอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรงอยู่เสมอๆ ความตึงเครียดเรื้อรังเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายในที่สุด อาการเจ็บป่วยที่พบบ่อยๆคือ โรคกระเพาะ โรคกรดไหลย้อน ลำไส้ใหญ่อักเสบ หอบหืด แม้แต่เบาหวาน เพราะความอ่อนเพลียและจิตใจเปลี่ยวเหงาไม่มีความสุข ทำให้ไม่อยากทำอะไรแม้กระทั่งการออกกำลังกาย เมื่อกลายสภาพเป็นผู้ป่วยเรื้อรังก็จะเกิดการเรียนรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะเรียกร้องความเห็นใจและสนใจจากคนรักได้ ซึ่งจะได้ผลในช่วงสั้นๆ ต่อไปคนรักก็จะเกิดความเบื่อหน่ายและไม่สนใจเช่นเดิม กลไกทางจิตที่ใช้ในชีวิตประจำวันคือ การปฏิเสธความจริง (Denial)
                 
                คู่รักใดที่มีลักษณะเช่นนี้ จะมีแต่ความตึงเครียด ไม่มีความสุข ชีวิตมีแต่ความน่าเบื่อหน่าย เมื่อถึงจุดหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะไม่สามารถทนได้อีกต่อไป อาจเกิดการต่อต้านหรือต่อสู้กันในรูปแบบต่างๆ ที่พบบ่อยคือ การทำร้ายร่างกาย เว้นเสียแต่ว่า ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นคนเสพติดรักในแบบที่สามารถอยู่ด้วยกันได้เพราะต้องพึ่งพาอาศัยกัน คือ เป็นคนเสพติดรักแบบพึ่งพาความสัมพันธ์ (Relationship addict) ฝ่ายหนึ่ง กับ แบบหลงรักตัวเอง (Narcissistic love addict) อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นแบบที่พบได้บ่อยในสังคมไทย

สรุป             
                พึงตระหนักไว้เสมอๆว่า ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกที่จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกต้องสมบูรณ์แบบตั้งแต่วัยแรกเกิดจนโตโดยหาที่ติไม่ได้ ดังนั้น พฤติกรรมเสพติดรัก คือ การต้องพึ่งพาคนรักในรูปแบบใดแบบหนึ่ง จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในคู่รักปกติทั่วไป เราทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องในเรื่อง การพึ่งพา ระหว่างคู่รัก และสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้ชีวิตคู่สามารถดำเนินไปได้อย่างมีความสุข  

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ผู้หญิงกับผู้ชาย คิดไม่เหมือนกัน (2)


                  เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในชีวิตคู่  ฝ่ายชายมักใช้วิธีแก้ไขด้วยเหตุผล เป็นขั้นเป็นตอน เน้นความรวดเร็ว กล้าเสี่ยง กล้าตัดสินใจ ในขณะที่ฝ่ายหญิงต้องการคำอธิบาย การรับฟังและความเข้าใจในความรู้สึกของเธอจากฝ่ายชาย ความเป็นจริงที่เราพบเห็นกันในสังคมเวลาเกิดการนอกใจกันก็คือ หากฝ่ายชายนอกใจ น้อยครั้งที่ฝ่ายหญิงจะขอหย่าขาดจากฝ่ายชาย แต่จะพยายามทำให้ฝ่ายชายเปลี่ยนใจเลิกคบหากับหญิงอื่น (ไม่ยักกะเรียกว่า หญิงชู้) แล้วกลับมาอยู่ด้วยกันในแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง ทุกอย่างทางบ้านให้อภัยหมด ในทางกลับกัน หากฝ่ายหญิงนอกใจ ฝ่ายชายมักใช้วิธีการรุนแรง เช่น ทำร้ายร่างกาย บ่อยครั้งที่ถึงกับฆ่ากันตาย สังคมกลับซ้ำเติมฝ่ายหญิง โดยใช้คำว่า มีชู้ ซึ่งมีความหมายในเชิงประณามอย่างเสียหาย ทั้งๆที่เป็นพฤติกรรมเดียวกัน คำอธิบายในเรื่องนี้มีได้หลายทาง ที่สำคัญที่สุดก็คือ ค่านิยมการเอารัดเอาเปรียบทางเพศ ที่สอดแทรกอยู่ในวรรณคดีไทยบางเรื่อง รวมถึงความหย่อนยานของการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่สามารถบังคับฝ่ายชายให้รับผิดชอบค่าเลี้ยงดูฝ่ายที่เสียหายได้ในแบบที่ควรจะเป็น
                   
                  คุณสมบัติของสมองผู้หญิงอีกประการหนึ่งที่สวรรค์ประทานให้ก็คือ พวกเธอมีสมองส่วนความจำด้านอารมณ์ (Emotional memory part) ขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย จึงสามารถจดจำรายละเอียดต่างๆในช่วงรักกันใหม่ๆได้มากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำสัญญาทั้งหมด
                  ยังครับ ยังไม่หมด ผลตรวจการทำงานของสมองด้วยเครื่องมือเฉพาะ พบว่า สมองของผู้หญิงมีการทำงานในส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกรักใคร่ผูกพันมากกว่าผู้ชาย  ส่วนสมองของผู้ชายมีการทำงานของสมองส่วนซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับความรู้สึกและการตอบสมองอารมณ์ทางเพศมากกว่าผู้หญิง……………………….เจอแล้วครับ ข้อมูลทางวิชาการที่น่าเชื่อถือสำหรับท่านชาย
                   การศึกษาหนึ่งของ Ruber Gur ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความแตกต่างของสมองสองเพศ พบว่า
                   ในขณะที่สมองอยู่ในระยะพัก สมองของผู้ชาย 70 % หยุดทำงาน แต่สมองของผู้หญิง 90 % ยังคงทำงานอยู่ ………………พวกเธอจึงมักต้องการพูดในเวลาที่คุณต้องการพัก
                   
               2. ฮอร์โมน  สำหรับทารกเพศชายสามารถตรวจพบฮอร์โมนเพศชายคือ Testosterone ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เมื่ออายุประมาณ 20 ปี ระดับฮอร์โมนตัวนี้จะสูงเป็น 20 เท่าของผู้หญิงในวัยเดียวกัน อย่าลืมว่า ผู้หญิงก็มีฮอร์โมนตัวนี้ด้วย ฮอร์โมนเพศชายนี้มีหน้าที่หลายอย่างนอกจากเป็นตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตของอวัยวะเพศและลักษณะของเพศชายต่างๆ เช่น หนวดเครา กล้ามเนื้อ โครงกระดูกที่มีขนาดใหญ่กว่าเพศหญิง เสียงใหญ่ห้าว  ที่สำคัญคือ อุปนิสัยประจำเพศ ได้แก่ ความก้าวร้าวรุนแรง มุทะลุดุดัน ชอบใช้กำลัง ชอบโลดโผนผจญภัย ชอบความตื่นเต้น ความเสี่ยงและท้าทาย ชอบเสียงดังๆ ชอบการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไม่ชอบอยู่ที่เดียวนานๆ
 ผู้ชายจึงไม่ค่อยชอบอยู่บ้าน……………….ได้ข้ออ้างทางวิชาการอีกข้อหนึ่งแล้วครับท่านชาย!
              
                ส่วนฮอร์โมนเพศหญิง นอกจากหน้าที่โดยตรงด้านการกำหนดลักษณะทางกายภาพประจำเพศแล้ว ไม่มีหลักฐานชัดเจนในเรื่องบทบาททางอารมณ์  การที่เพศหญิงไม่มีนิสัยก้าวร้าวและอื่นๆเหมือนเพศชาย อาจเกิดจากการมีฮอร์โมนเพศชายในปริมาณที่น้อยกว่ามากๆ ร่วมกับกระบวนการเรียนรู้ผ่านทางการเลี้ยงดูและบทบาทที่สังคมกำหนดให้
               ฮอร์โมน Estrogen ยังมีส่วนช่วยประสานการทำงานของเซลประสาททั้งในสมองซีกเดียวกันและเชื่อมระหว่างสองซีกอีกด้วย
                
                ท่านชายทั้งหลายครับ เรามาพร้อมใจยอมจำนนด้วยหลักฐานทางวิชาการกันดีไหม ผมเองไม่คิดว่าเป็นการเสียศักดิ์ศรีอะไร เพราะโดยส่วนตัวไม่ชอบคำนี้เอามากๆ เหตุเพราะหากเราต้องการรักษาศักดิ์ศรีของเราโดยการเอามันมาจากคนอื่น เราจะเรียกการกระทำนี้ว่า มีศักดิ์ศรี ได้อย่างไร ผมกลับมองเห็นแต่ผลดีที่ว่ามันเป็นการส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีให้แก่คนที่เรารัก ซึ่งผลดีก็จะย้อนมาหาเราในที่สุดยังไงล่ะครับ

ต่อไปนี้เป็นคำถาม ที่คุณอยากรู้คำตอบมานานแสนนาน

คำถาม   คุณรู้ไหมว่า เหตุใดผู้หญิงจึงพูดด้วยจำนวนคำที่เยอะกว่าผู้ชายในเวลาเท่ากัน
คำตอบ  ก็เพราะเธอฝึกพูดมาตั้งแต่เป็นทารกนะซีครับ  นักวิชาการเขาค้นพบว่า ทารกเพศหญิง ยิ้มและส่งเสียงอ้อแอ้ชวนคุยมากกว่าทารกเพศชาย ไม่นานพวกเธอก็พูดคำแรกได้ก่อน ต่อมาใช้คำศัพท์ได้มากกว่า โตขึ้นเรียนภาษาก็เก่งกว่า แปลกนิดหน่อยตอนจีบกันทำไมพูดน้อย ……. เลยทำให้ดูน่ารัก แต่พวกเธอไปชดเชยอีกทีอีตอนแต่งงานกันไปแล้ว หลังจากนั้นปริมาณคำพูดก็มักจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนโดยตรงกับวัยวุฒิของพวกเธอ………ตรงนี้ยังไม่มีนักวิชาการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง คงเป็นเพราะพวกเราผู้ชายอีกนั่นแหละที่ขยันทำตัวให้น่าบ่น หากทำตัวเรียบร้อยขึ้นสักหน่อย พวกเธอก็คงจะบ่นน้อยลง แล้วความน่ารักของเธอก็จะกลับมาให้เราชื่นชมอีกครั้งหนึ่ง ....... เหมือนที่เคยเป็นมาแล้วเมื่อกาลครั้งหนึ่ง

เรื่องราวในบทต่อจากนี้ไปจะมีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ เพราะจะเริ่มเจาะลึก ทะลุทะลวงกันถึงก้นบึ้งของหัวใจอย่างชนิดไม่เกรงใจกัน แต่ก็ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจ เพราะไม่อยากเห็นความสูญเสียชีวิตอันเนื่องมาจากความผิดหวังในเรื่อง ความรัก ที่เกิดขึ้นซ้ำๆซากๆในสังคมไทยทุกวันนี้อีกต่อไป สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คนส่วนใหญ่ของสังคมมีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ รวมทั้งต้องมีทัศนคติที่ถูกต้องในเรื่องนี้ และพร้อมใจกันเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสังคมที่ไม่เหมาะสมไปสู่สังคมที่มีอารยะมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ เพื่อชีวิตที่ปลอดภัยและมีความสุขของลูกหลานท่านเอง

ผู้หญิงกับผู้ชาย คิดไม่เหมือนกัน (1)


              ผู้หญิงมักจู้จี้ ขี้งอน หงุดหงิดง่าย เอาแต่ใจ อารมณ์เหมือนทะเล เอาแน่ไม่ได้ เข้าใจยาก
              ผู้ชายมักชอบโอ้อวด ขี้คุย เจ้าชู้ โมโหร้าย ชอบหาเรื่องชกต่อย ไม่ค่อยมีระเบียบ
              จริงเท็จแค่ไหน ลองมาดูสิ่งที่นักวิชาการเขาสรุปกันเอาไว้นะครับ
              งานวิจัยหลายชิ้นในต่างประเทศ ยืนยันตรงกันว่า ผู้หญิงกับผู้ชาย มีความคิดและนิสัยแตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะ ทั้งสองเพศมีสองสิ่งที่ต่างกัน คือ

1. สมอง  2. ฮอร์โมน  
            
             ซึ่งเป็นตัวกำกับ ความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม
             จึงทำให้ ผู้หญิงและผู้ชาย มีนิสัยไม่เหมือนกัน
             เป็นความแตกต่างกันที่มีมาแต่กำเนิด  ไม่ได้เกิดจากการเลี้ยงดู

เรามาดูกันทีละเรื่องเลยครับ
     1.  สมอง  ทราบกันมานานแล้วว่า
            สมองซีกซ้าย ทำงานเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์ด้วยหลักเหตุผล เก็บรายละเอียด เพื่อการวางแผน
            สมองซีกขวา ทำงานเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ มองภาพรวม มีความสามารถในการคาดการณ์ล่วงหน้าได้ด้วยเหตุผลและความเชื่อมโยงกับความจำ ความหมายดูคล้ายกับ ลางสังหรณ์  

            ผู้ชาย  มีแนวโน้มที่สมองซีกซ้ายจะทำงานได้ดีกว่าซีกขวา  ในขณะที่
            ผู้หญิง  มีแนวโน้มที่สมองจะทำงานได้ดีทั้งสองซีก

ผู้หญิงจึงมักทำงานได้หลายๆเรื่องในเวลาเดียวกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการติดต่อสื่อสาร
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!?????????????????????????
น่าตกใจและไม่น่าเชื่อ สำหรับผู้ชายโดยทั่วไปใช่ไหมครับ ที่มักคิดกันว่า ผู้ชายเก่งกว่าผู้หญิง
ซึ่งอาจเป็นสิ่งยืนยันได้ว่า ผู้ชายโง่กว่าจริงๆ (ที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าผู้หญิง)
                 
                 ท่านทั้งหลายเคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่า เหตุใดธรรมชาติจึงได้มอบภารกิจที่ยิ่งใหญ่และยุ่งยากที่สุดของมนุษยชาติ คือ การตั้งครรภ์และการเลี้ยงลูกให้แก่เพศหญิง  
                 หากไม่ใช่เพราะว่า พวกเธอมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกว่าเพศชาย ไม่ว่าจะเป็น ความเฉลียวฉลาด ความอ่อนโยน ความมีเมตตา หรือแม้กระทั่ง ความอดทนในทุกรูปแบบ  
                  ท่านชายทั้งหลายอย่าเพิ่งเคืองกันนะครับ เพราะทุกคนล้วนมีแม่ หากเราไม่ยอมรับความจริงข้อนี้ ก็เท่ากับเราไม่ยอมรับในคุณสมบัติและความดีงามทั้งปวงของแม่เราเอง
                      
                  ความจริงแล้ว ทั้งสองเพศต่างก็มีทั้ง จุดแข็งและจุดอ่อน ธรรมชาติจึงให้หญิงชายต้องมาอยู่ด้วยกัน เพื่อช่วยเติมเต็มส่วนขาดให้แก่กัน ชีวิตจะได้สมบูรณ์หรืออย่างน้อยก็มีความสุขกว่าการอยู่คนเดียว
                 ดังนั้น  เมื่อถึงวัยที่ทั้งสองเพศต้องมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน แน่นอนว่าจะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นไม่มากก็น้อย ไม่ช้าก็เร็ว หนักที่สุดเห็นจะไม่มีอะไรเกินเรื่องนอกใจกัน โดยทั่วไปผู้หญิงมักมีญาณรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผู้ชายส่วนใหญ่ที่คิดว่าตัวเองฉลาดกว่า ก็มักทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็งไปเรื่อยๆ สุดท้ายไม่พ้นต้องจบลงด้วยการจำนนต่อหลักฐาน  
                  
                  โปรดอย่าลืมว่า ผู้หญิงมีสมองซีกขวาที่ดีกว่าผู้ชาย นี่พูดถึงเกณฑ์เฉลี่ยโดยทั่วไป พวกเธอจึงมีความรู้สึกไวต่อความผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น บรรดาคุณผู้ชายที่กำลังคิดจะแบ่งปันหัวใจให้หญิงอื่น ไม่ว่าจะเรียกว่า กิ๊ก  เพื่อนที่รู้ใจ หรือ ชู้ทางใจ ก็ตาม
                   รอดยากนะครับ………………….. ขอบอก

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความเข้ากันได้ของคู่รัก (2)


คู่รักแต่ละคู่ จะมีวิธีการสื่อสารที่แตกต่างกัน ขึ้นกับปัจจัยหลายหลาก เช่น การอบรมสั่งสอน ทั้งทางตรงและทางอ้อมของพ่อแม่ หรือผู้ดูแล ขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรม วิถีชีวิตดั้งเดิม อุปนิสัย ความเชื่อ ฯลฯ

ตัวอย่างวิธีการสื่อสารระหว่างสามี ภรรยา ที่ต่างกัน
คู่ที่ 1
ภรรยา ทำไมคุณถึงไม่โทรบอกฉันว่าจะกลับบ้านดึก ปล่อยให้ฉันอดหลับอดนอนรอ
สามี :  คุณไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นก็ได้นี่ ผมไม่ใช่เด็กแล้ว

คู่ที่ 2
ภรรยา :  มีอะไรเกิดขึ้นหรือที่รัก ฉันห่วงคุณแทบแย่
สามี  ขอโทษทีจ้ะที่ไม่ได้โทรบอก คุยกับเพื่อนเก่าที่ร้านอาหารจนเพลิน ไม่ได้เจอกันมาสิบกว่าปี

            งานวิจัยหลายชิ้นเกี่ยวกับชีวิตสมรสที่อยู่กันนานอย่างมีความสุข พบว่า ทั้งสองฝ่ายมักมีคุณสมบัติที่ดีร่วมกันอยู่ 2 ประการ คือ
              1.  การมีทัศนคติที่ดีต่อกัน
          2.  การมีความคาดหวังที่สอดคล้องกับความเป็นจริง

             ตัวอย่างบทสนทนาข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในคุณสมบัติทั้ง 2 ประการของคู่รักได้อย่างชัดเจน

ผลเสียของการคำนึงถึงเรื่อง การเข้ากันได้มากเกินไป  

เธอควรปรับตัวให้เข้ากับครอบครัวของฉันด้วย และทำทุกอย่างตามที่ฉันบอก ถ้าทำได้ เธอก็จะได้ทุกอย่างที่ต้องการ
            
                 คนโดยทั่วไปคิดว่า  การที่คนสองคนมีคุณลักษณะหลายอย่างที่เข้ากันได้ดี จะทำให้ไปด้วยกันได้ดีและมีชีวิตคู่ที่มีความสุข  แต่ความคิดเช่นนี้อาจสร้างปัญหาขึ้นได้ เพราะการที่คุณพยายามมองหาความเข้ากันได้อยู่ตลอดเวลาก็อาจทำให้คุณเผลอใช้ตัวเองเป็นตัวตั้ง แล้วคาดหวังที่จะให้คู่รักของคุณตอบสนองความต้องการของคุณเองโดยไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่คิดว่า เขาหรือเธอต้องเป็นฝ่ายปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของคุณจึงจะเรียกว่าเป็น  ความเข้ากันได้       

                 งานวิจัยชิ้นหนึ่งของ  ศาสตราจารย์ Ted Huston นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Texas ผู้ดำเนินโครงการ “The PAIR Project”  ซึ่งเป็นโครงการศึกษาวิจัยระยะยาวเกี่ยวกับคู่สมรส พบว่า เมื่อเปรียบเทียบคู่สมรสที่ไม่มีความแตกต่างกันในทาง กายภาพ คือ มีความเข้ากันได้ดีทางกายภาพ เช่น ฐานะทางเศรษฐกิจและระดับการศึกษา อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกัน คู่สมรสส่วนหนึ่งมีความสุขในขณะที่อีกส่วนหนึ่งไม่มีความสุข  แสดงว่า น่าจะมีปัจจัยอื่นๆอีกที่มีอิทธิพลต่อการทำให้คู่สมรสมีความสุขได้มากกว่าการมีเพียงคุณสมบัติที่เข้ากันได้ทาง กายภาพ  เท่านั้น เขาได้ให้ข้อคิดที่น่าสนใจว่า  คู่สมรสจะมีความสุขได้มากยิ่งขึ้นหากทั้งสองคนมีความเคารพในความเป็นปัจเจกบุคคลของกันและกัน คือ ยอมรับว่าเขาหรือเธอก็เป็นคนอย่างนั้นเอง  ขณะเดียวกันก็ต้องมีความพยายามที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกันให้มากขึ้นในเรื่องสำคัญๆด้วย

หากคุณคิดถึงเรื่องของ  ความเข้ากันได้มากจนเกินไป คุณอาจจะ
1.     พลาดโอกาสเรียนรู้เพื่อนคู่ใจคนใหม่ (กรณีที่คุณยังไม่ตัดสินใจ) ที่ดูเหมือนจะเข้ากันไม่ได้ ( เพราะคุณรีบตัดสินเขาหรือเธอเสียก่อน) แต่หารู้ไม่ว่าคนๆนั้นก็คือ คนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ

Tom :  What is your favorite dish, honey?
              (อาหารจานโปรดของเธอคืออะไรจ๊ะที่รัก)
เธอ :    ส้มตำปลาร้าค่ะ แล้วพี่ล่ะ
Tom  :  Cheese Burger Ha Ha ….my sweet heart!
              (ชีสเบอร์เกอร์ จ้ะ หวานใจของพี่
                        เธอ :   วันนี้ น้องขอหม่ำส้มตำปลาแด้กก่อนนะจ๊ะ  
                        Tom :  ไม่เป็นไรไอเลิฟยู มายดาหริง

แค่แปรงฟันให้สะอาดหมดจดก่อน……..ก็สิ้นเรื่อง
           
2.   เผลอใจไปคบกับเพื่อนคู่ใจที่ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี แต่……..   

       เขา ที่รัก เราก็ดูใจกันมานานแล้ว ดูกันมาหมดทุกอย่างแล้ว แต่งงานกับพี่เถอะนะ
       เธอ ค่ะ เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปนะคะ
       เขา  มีสิ่งหนึ่งที่พี่อยากบอกน้องมานาน แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง
       เธอ ก็พูดภาษาไทยนี่แหละค่ะ
       เขา  คือ…. อ่า….เอ่อ…..พี่มีเมียแล้วจ้า ลูก 1 กำลังน่ารักน่าชัง
       เธอ ไปตายซะ       

                    เราจะพบว่า คู่รักที่มีความแตกต่างกันอย่างมากในหลายๆด้าน แต่อยู่กันอย่างมีความสุข ในขณะที่คู่รักที่ดูเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกนั้น ในที่สุดก็หย่าร้างกันไป มีปรากฏเป็นข่าวอยู่เสมอๆ

                ตัวอย่างสามีภรรยาที่มีความแตกต่างกันมากๆ แต่อยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข เช่น
  • ภรรยาเป็นนักธุรกิจร้อยล้าน ส่วนสามีรับราชการ (ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต)
  • สามีเป็นนักธุรกิจ ส่วนภรรยาเป็นแม่บ้านที่การศึกษาไม่สูงและไม่ชอบออกสังคม แต่มีความรับผิดชอบสูง สามารถดูแลงานบ้านและเลี้ยงดูอบรมลูกๆได้เป็นอย่างดี 

                                                                                                                                                                        
ตัวอย่างสามีภรรยาที่เหมือนกันมากๆ แต่ไปไม่รอด เช่น
  •  สามีภรรยาเป็นนักธุรกิจทั้งคู่  รวยทั้งคู่
  • นักวิชาการระดับปริญญาเอกทั้งคู่  
  • คู่หมอ คู่ดาราดัง ฯลฯ

 สรุป
             ความเข้ากันได้ มี 2 ส่วน คือ
1.     มีอยู่แล้ว คือ คุณสมบัติที่คู่รักต่างพอใจซึ่งกันและกันเมื่อแรกรัก
2.     สร้างขึ้นใหม่ คือ คุณสมบัติที่คู่รักช่วยกันสร้างขึ้นหลังแต่งงาน เพื่อให้ชีวิตรักยืนยาว               
       อย่างมีความสุข

                    คุณคิดว่า แบบไหนสำคัญกว่ากัน

ความเข้ากันได้ของคู่รัก (1)



ความจริงที่น่ารู้ แต่มักถูกมองข้าม

คนเราเมื่อถึงวัยที่อยากมีรัก  ก็มักจะเริ่มต้นด้วยการกำหนดคุณสมบัติของคนรักก่อน  ช่วงแรกๆมักมีข้อกำหนดสูง เช่น หล่อ / สวย รวย เก่ง เด่น ดัง ดีพร้อมทุกอย่าง เมื่อผ่านไประยะหนึ่งจึงค่อยๆลดคุณสมบัติลงเหลือแค่ รวย กับ ดี ครั้นพอเวลาผ่านไปจนรู้สึกว่า เวลาเหลือน้อยลงทุกทีก็เริ่มรู้สึกท้อจนไม่อยากดิ้นรนค้นหาต่อไป จึงลดเหลือเพียงข้อเดียวคือ ขอให้เป็นคนละเพศกับตัวเองก็พอ (ในที่นี้หมายถึงผู้ที่มีความต้องการคนต่างเพศมาเป็นคู่ครองเท่านั้น ส่วนคนที่ชอบเพศเดียวกันก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นกรณีทั่วไป)

เวลาที่คุณถามคนที่เขารักกันว่า เหตุใดพวกเขาจึงครองรักกันมาได้นานจนน่าอิจฉา ก็มักจะได้ยินคำพูดต่างๆเหล่านี้
                เรารักกัน เพราะเรามีอะไรหลายๆอย่างเหมือนกัน เราเข้ากันได้ดีมาก
                ถึงแม้เราจะมีอะไรหลายอย่างที่ต่างกัน แต่ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้เรารักกันก็คือ เราเข้ากันได้
   เราคบหาดูใจกันมานาน จนมีความเข้าใจกัน และมั่นใจว่า เราเข้ากันได้อย่างแน่นอน
   อะไรๆ ก็ เข้ากันได้จนไม่รู้ว่า มันคืออะไร
               
               ทั้งๆที่คำว่า เราเข้ากันได้เป็นคำที่ถูกใช้บ่อยที่สุดในเรื่องความรัก แต่ดูเหมือนว่ามันยังมีความคลุมเครืออยู่มากทีเดียว
  
                เมื่อคู่รักส่วนหนึ่งอยู่ด้วยกันไปสักระยะ  ก็ถึงวันที่ทั้งสองฝ่ายต่างพร้อมใจกันประกาศเอกราช ด้วยถ้อยคำที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่คราวนี้เป็นประโยคปฏิเสธ
                สาเหตุที่เราต้องตัดสินใจ แยกทางกันก็เพราะ ……….

   เราเข้ากันไม่ได้ เราไม่มีอะไรที่เหมือนกันสักอย่าง
   เราพยายามเต็มที่แล้ว แต่เราเข้ากันไม่ได้จริงๆ
   เรายังเด็กเกินไปที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน ตอนนี้เรายังเข้ากันไม่ได้
   เราอยู่กินกันมากว่า 30 ปี ลูก 4 หลาน 10 สุดท้ายเราก็พบความจริงว่า เราเข้ากันไม่ได้
           
                 คุณอาจเป็นอีกคนหนึ่งที่มีประสบการณ์กับคำทั้งสองนี้มาด้วยตนเอง ทั้งสับสน โกรธแค้น เจ็บปวด หดหู่ เศร้าเสียใจ หวาดระแวง ท้อแท้ หมดหวัง จนไม่เชื่อว่าโลกนี้มี รักอยู่จริง
                 ถ้าเช่นนั้น เราน่าจะมาลับสมองด้วยการช่วยกันหาความหมายของคำๆนี้กันสักหน่อย อย่างน้อยที่สุดก็อาจพอเป็นข้อกำหนดกลางๆเอาไว้บ้าง ส่วนใครจะไปเพิ่มอีกนิดหรือลดอีกหน่อยก็ไม่ว่ากัน    

 อะไรบ้างที่ ควรจะเป็นองค์ประกอบของ  ความเข้ากันได้” 
               นักวิชาการในต่างประเทศได้พยายามค้นคว้าวิจัยในเรื่องนี้กันมาอย่างต่อเนื่อง ได้ข้อสรุปของ ความเข้ากันได้ว่ามีอยู่ 4 ระดับด้วยกัน คือ

          1. กายภาพ  เป็นความเข้ากันได้ในคุณลักษณะภายนอก เช่น รูปร่าง หน้าตา น้ำหนัก ส่วนสูง ขนาดของร่างกาย เป็นต้น ความเข้ากันได้ทางกายภาพเหล่านี้จะเกิดขึ้นในลำดับต้นๆของการพิจารณาเลือกคู่ ต่อเมื่อได้มีปฏิสัมพันธ์กันไประยะหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เริ่มตรวจสอบความเข้ากันได้ในเรื่องอื่นๆที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้นต่อไป
         
          2. สถานภาพทางสังคม เช่น การศึกษา อาชีพ ฐานะทางการเงิน ครอบครัว ชนชั้น เชื้อชาติ วัฒนธรรม ศาสนา ซึ่งบางศาสนามีข้อบังคับเข้มงวดว่า ต้องเป็นศาสนาเดียวกัน หรือ ต้องเปลี่ยนศาสนาก่อนจึงจะประกอบพิธีแต่งงานกันได้ กรณีเช่นนี้ก็จะเพิ่มข้อจำกัดของความเข้ากันได้ขึ้นอีก
          
           3. บุคลิกภาพ ได้แก่ คุณลักษณะต่างๆที่สามารถสังเกตเห็นได้ภายนอก เช่น การแต่งกาย การพูดจา กิริยาท่าทาง ภาษากาย การแสดงออกทางอารมณ์ รวมถึงค่านิยมและรสนิยมในเรื่องต่างๆซึ่งเป็นตัวกำหนดแบบแผนการดำเนินชีวิต ส่วนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา ต้องใช้สัมผัสที่หก เช่น ความคิดความอ่าน การใช้เหตุผล เป็นคนมีหลักมีเกณฑ์ดีไหม นิสัยใจคอเป็นอย่างไร ความรับผิดชอบ ความจริงใจ ความมีน้ำใจ ลึกลงไปสู่คุณธรรมด้านต่างๆที่บ่งบอกถึงระดับของพัฒนาการด้านจิตวิญญาณ
          
            4. สติปัญญา  หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รวมถึงระดับการศึกษา ต้องไม่ต่างกันมากนัก งานวิจัยของ Neil Clark Warren ผู้ก่อตั้ง eHarmony.com และเป็นผู้ออกแบบสอบถามที่ใช้ในการวิจัยเพื่อการหาคู่ครองที่เหมาะสมให้ข้อเสนอแนะว่า ระดับสติปัญญาของคู่สมรสควรมีค่าแตกต่างกันไม่เกินกว่า 1 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (1 standard deviation หรือ 1 SD) คือ ค่าของ IQ ที่แตกต่างกันไม่มากไปกว่า +/- 10

                ในเรื่องของความเข้ากันได้นี้ อาจมีรายละเอียดอื่นๆได้อีกมากนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เข้าใจและรับรู้กันโดยทั่วไป  ประเด็นของเรื่องนี้ก็คือ ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกคนไม่ควรละเลย แต่จำเป็นต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากมันเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิตคู่ เชื่อว่า คงไม่มีคู่รักใดที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่า คนๆนี้จะเป็นคนรักคนที่หนึ่งของฉัน หลังจากห้าปีผ่านไป ฉันก็จะมีคนที่สอง สาม สี่ ไปเรื่อยๆ หากจะมีกรณีเช่นนี้อยู่บ้าง บุคคลผู้นั้นก็คงมีเหตุผลส่วนตัวและคิดว่าการมีชีวิตเช่นนั้นมีความเหมาะสมสำหรับเขามากกว่าแบบอื่น
                 
                ในชีวิตจริงเป็นเรื่องยากที่คนเราจะพบคนรักที่ถูกใจจนหาที่ติไม่ได้  เริ่มจากวิธีการพบกันของคนสองคนก็มักแตกต่างกันไปตามภาวะแวดล้อมทางสังคม เช่น ทำงานในที่เดียวกันหรือใกล้ๆกัน บางคู่เริ่มจากความเป็นเพื่อน จากนั้นจึงค่อยๆพัฒนาเป็นความรัก  อาจพบกันในงานสังคม  งานเลี้ยงต่างๆ ในสถานการณ์เหล่านี้เป็นการยากที่คนสองคนจะมานั่งตรวจสอบคุณสมบัติของความเข้ากันได้ทั้งหมด  สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือคนทั้งสองจำเป็นต้องใช้เวลาคบหาเพื่อค้นหาตัวตนของอีกฝ่ายกันไปสักระยะหนึ่ง  นักวิชาการชื่อ Diane  Sollee  ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการองค์กร Coalition for Marriage, Family and Couples Education ไม่เชื่อว่าจะมี คู่รักที่เข้ากันได้ (There is no such thing as a compatible couple) เพราะเป็นไปไม่ได้ที่คนเราจะมีอะไรเหมือนๆกันไปเสียทุกอย่าง ประเด็นอยู่ที่ว่าคนสองคนที่มีความรักให้กันนั้น จะมีวิธีบริหารจัดการความแตกต่างที่มีอยู่ได้ดีเพียงไร  ดังนั้น……………….

                          ความเข้ากันได้จึงเป็นสิ่งที่คนเราต้องสร้างมันขึ้นมา

                  คู่สมรสแบบคลุมถุงชนในสมัยก่อน อาจเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับยืนยันความเชื่อนี้ เพราะเราจะพบว่า คนสมัยก่อนที่แต่งงานกันโดยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายจัดหาคู่ให้ก็สามารถอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขจนแก่เฒ่าเป็นจำนวนมาก แต่ก็อาจมีข้อโต้แย้งได้มากเช่นกันว่า ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป คนสมัยนี้ไม่อดทนเหมือนเมื่อก่อน ใจร้อน เอาแต่ใจ ไม่คิดถึงคนอื่น ทำให้เกิดมีข้อโต้แย้งกลับมาว่า ก็ทำไมต้องอดทนด้วยล่ะ อยู่กันแล้วไม่มีความสุข จะทนอยู่กันไปทำไม ในที่นี้จึงขอละเอาไว้เพียงนี้ เพราะคงเถียงกันไม่จบ

                  แนวคิดทำนองนี้สอดคล้องกับ Robert Epstein นักจิตวิทยาผู้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับคู่รัก ท่านได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจไว้ว่า บุคลิกภาพมีความสำคัญต่อความเข้ากันได้ของคู่รัก แต่ไม่มีใครที่จะสามารถบอกได้ว่า บุคลิกภาพแบบไหนเหมาะสมกันหรือเข้ากันได้มากที่สุด เพราะในชีวิตจริงเราพบว่าคู่รักบางคู่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเหมือนกันเลย แต่พวกเขาก็สามารถอยู่กันได้อย่างมีความสุข ในขณะที่คู่ซึ่งดูจะมีอะไรเหมือนๆกัน แต่อยู่กันไม่นานก็ต้องหย่าร้างกันไป  
               
                  ความสำคัญจึงอยู่ที่ว่า คนทั้งสองมีความสามารถที่จะพัฒนาทักษะด้านการสร้างสัมพันธภาพ (Relationship skills) หลังแต่งงานได้ดีเพียงไร ซึ่งเป็นเรื่องของ ระดับวุฒิภาวะทางอารมณ์ (Emotional Quotient-EQ) สิ่งที่มีความสำคัญมากอีกประการหนึ่งคือ ระดับคุณธรรม ศีลธรรม (Moral Quotient-MQ) และ จิตวิญญาณ (Spiritual Quotient-SQ) ก็ไม่ควรต่างกันมากนัก เพราะในระยะยาวอาจจะมีปัญหาในการสนทนาและการดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวัน