วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

ทฤษฎีว่าด้วยความรัก (2)


เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ Dr. Sternberg ใช้รูปสามเหลี่ยมแทนโครงสร้างของความรัก ด้วยการวางตำแหน่งของแต่ละองค์ประกอบหลักไว้ที่มุมทั้งสาม องค์ประกอบหลักเหล่านี้ยังทำให้เกิดความรักได้อีก 4 แบบด้วยกัน ดังภาพ


ความรักประเภทต่างๆ : Dr. Sternberg อธิบายว่า คู่รักแต่ละคู่จะมีความรักแบบต่างๆรวมกันอยู่ในสัดส่วนที่ต่างกัน โดยที่แต่ละคู่จะมีจุดเริ่มต้นของความรักต่างกันได้ 3 แบบ ดังนี้

แบบที่ 1 เริ่มจากความรู้สึกเสน่หา (Passion)  
                เมื่อหนุ่มสาวพบกันครั้งแรก ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญหน้ากันตรงๆจากการแนะนำโดยเพื่อนฝูง หรือพบกันโดยบังเอิญ หากฝ่ายหนึ่งเกิดความรู้สึกถูกตาต้องใจอีกฝ่ายหนึ่งอันเนื่องมาจากรูปลักษณ์ภายนอก เช่น ความสวยความงาม ความหล่อเหลาของใบหน้า ความได้สัดส่วนของเรือนร่าง ก็จะเกิดแรงผลักดันให้เกิดพฤติกรรมสร้างสัมพันธภาพต่างๆตามมา เช่น การเกี้ยวพาราสี ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่า เพศชายจะถูกกระตุ้นให้รู้สึกสนใจด้วยลักษณะทางเพศอันโดดเด่นของเพศหญิง เช่น ขนาดหน้าอกที่ใหญ่โต เอวคอด สะโพกผาย ผิวพรรณดูเนียนสะอาด ส่วนเพศหญิงมักสนใจคล้ายคลึงกัน ที่เพิ่มขึ้นคือ จะรู้สึกสะดุดใจกับลักษณะที่บ่งบอกถึงความมั่นใจในตนเอง มีภาวะผู้นำ ให้ความรู้สึกอบอุ่นดูน่าไว้วางใจของผู้ชายคนนั้น คุณสมบัติเหล่านี้เรารู้จักกันดีในชื่อว่า " เสน่ห์ทางเพศ " (sex appeal หรือ sexual attractiveness) นั่นเอง ซึ่งต่างกับ " ความมีเสน่ห์ " (Charm) (ทั้งสองคำนี้จะพูดถึงโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่งในบทต่อไป) 
                 ความรักที่เริ่มจากความรู้สึกเสน่หานี้ ยังแบ่งออกเป็น 3 ประเภทย่อยๆ คือ
          1.1 ความรักแบบเสน่หา (Passionate love) 
                 ความรักส่วนใหญ่เริ่มต้นแบบนี้ เป็นความรักที่มีองค์ประกอบเดียวคือ ความเสน่หา (Passion) เป็นความรักที่มีอารมณ์ซุกซ่อนรุนแรง กลัวๆกล้าๆ ความคิดเดินหน้าถอยหลังไม่แน่ใจในตนเอง ทำให้เกิดความปั่นป่วนฟุ้งซ่านในจิตใจ คิดถึงอีกฝ่ายอยู่เกือบตลอดเวลา ทำให้ใจเหม่อลอยจนมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การเรียน การทำงาน หากเป็นรักข้างเดียว หรือ ไม่ได้รับการตอบสนองจากอีกฝ่ายก็ยิ่งทำให้เกิดความกระวนกระวายถึงขั้นทุกข์ทรมานใจอย่างหนัก ในภาษาอังกฤษอาจเรียกได้อีกคำหนึ่งว่า Infatuated love หรือ Infatuation ซึ่งแปลว่า ความรักขั้นหลงใหล หรือ หลงรักอย่างมาก ในคนที่มีความมุ่งมั่นจริงจังก็มักมีแรงขับให้เดินหน้าสู่พฤติกรรมในลำดับต่อไป    
           1.2 ความรักหวานซึ้ง (Romantic love) 
                  ฝ่ายที่มีรักจะเริ่มแสดงพฤติกรรมต่างๆให้อีกฝ่ายรู้ว่า " ผมสนใจคุณนะ " หรือ " เค้าชอบตัวนะ " ด้วยการสร้างสัมพันธภาพเบื้องต้น เช่น การให้เวลาไปมาหาสู่อยู่ด้วยกันมากขึ้น จากนั้นก็จะเริ่มกระบวนการเกี้ยวพาราสี (courting) เช่น การพูดเล่นหยอกล้อ ซื้อขนมมาฝาก การเอาอกเอาใจด้วยการบริการต่างๆ หากอีกฝ่ายสนใจก็จะเริ่มมีท่าทีตอบสนอง กระบวนการสร้างสัมพันธภาพแห่งรักจะเริ่มต้นพัฒนาตัวมันจากขั้นหนึ่งสู่อีกขั้นหนึ่ง เหมือนการเล่นเกมผ่านด่านต่างๆ จนถึงจุดหนึ่งจะเกิดความสนิทสนมคุ้ยเคยและผูกพันกันอย่างมาก (Intimacy) ดังนั้น romantic love จึงเป็นส่วนผสมของ passionate love กับ intimate love ความรักในช่วงนี้จึงเป็นช่วงเวลาแห่งความสุข ความงดงาม ความซาบซึ้งใจ และความทรงจำดีๆซึ่งจะกลายเป็นรากฐานของความรักที่มั่นคงต่อไป นิยายและภาพยนตร์รักส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องราวของความรักในระยะนี้ ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้ที่ไม่สามารถผ่านด่านนี้ได้ก็ย่อมต้องประสบกับความผิดหวังอย่างรุนแรง ผู้คนจำนวนไม่น้อยทั่วโลกต้องสังเวยชีวิตของตนในแต่ละวันไปเพราะเหตุนี้ จึงควรที่เราทุกคนต้องตั้งสติให้ดีด้วยการรู้เท่าทันในความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของตนเองในทุกรูปแบบ ทุกขั้นตอนของความรัก
           1.3 ความรักแบบหลงใหลคลั่งไคล้ (Fatuous love) 
                  เป็นความรักที่มีส่วนผสมของความรักแบบเสน่หา (Passionate love) กับความรักตามคำมั่นสัญญา (commitment love) เป็นความรักที่มักเกิดในวัยรุ่น เต็มไปด้วยความเร่าร้อนแห่งไฟเสน่หา รอไม่ได้ ไม่ฟังเสียงทัดทานของผู้ใหญ่ ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ คู่รักมักรีบให้สัญญารักต่อกัน ทำให้เกิดพฤติกรรม " ชิงสุกก่อนห่าม " หนีตามกันไปแล้วกลับมาขอขมาในภายหลัง ความรักประเภทนี้มักไม่ผ่านกระบวนความรักขั้นโรแมนติก ขาดการศึกษาเรียนรู้นิสัยใจคอกัน จึงมักจบลงอย่างรวดเร็วดังคำโบราณที่ว่า " รักง่ายหน่ายเร็ว "
                  ข้อควรระวังสำหรับความรักในข้อ 1.1 และ 1.2 คือ หากคู่รักไม่สมหวังด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น ถูกกีดกันจากผู้ใหญ่ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเปลี่ยนใจหรือนอกใจ ก็อาจกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมรุนแรงในลักษณะ " พิศวาสฆาตกรรม " ดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เสมอ คู่รักทั้งหลายที่อยู่ในระยะรักแบบนี้จึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว ก่อนอื่นควรต้องตั้งสติให้ดี วิธีที่ดีที่สุดคือการปรึกษาผู้ใหญ่ในครอบครัวของตนที่สามารถให้คำแนะนำได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกตำหนิหรือถูกลงโทษ ผู้ใหญ่ก็ไม่ควรซ้ำเติม ทุกคนควรมีสติไม่วู่วาม ก็จะเกิดปัญญาสามารถหาทางออกได้อย่างเหมาะสมในที่สุด

แบบที่ 2 เริ่มจากความใกล้ชิดสนิทสนม (Intimacy)
                เป็นความรักที่เริ่มจากความเป็นเพื่อนกันตั้งแต่วัยเด็กหรือหนุ่มสาว รู้สึกชอบพอกันแบบเพื่อน เมื่อความสนิทสนมมากขึ้นเรื่อยๆจึงค่อยเปลี่ยนเป็นความรัก โดยมีสัดส่วนของความรักฉันท์คู่รักที่เพิ่มขึ้นตามวัย เส้นทางรักต่อไปเป็นได้ 2 ทาง คือ
                2.1 รักหวานซึ้ง (Romantic love) 
                      ด้วยอายุที่มากขึ้นจากวัยเด็กเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ฮอร์โมนเพศแสดงบทบาทของตัวมันเพิ่มขึ้น ความรู้สึกจึงค่อยๆเปลี่ยนไป ทั้งสองฝ่ายอาจีระยะห่างเหินกันไปด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ เช่น ย้ายโรงเรียน ย้ายบ้าน เรียนต่อต่างประเทศ แต่ด้วยโชคชะตาฟ้าลิขิต ทำให้ได้กลับมาพบกันอีก แต่ครั้งนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากฝ่ายหนึ่งต้องผิดหวังกับความรักในช่วงที่หายไปจนเกิดความท้อแท้สิ้นหวัง ไม่ไว้วางใจใครอีก ไม่อยากจะเริ่มต้นใหม่ ครั้นเมื่อได้มาพบกับเพื่อนเก่าที่รู้ใจ ความคุ้นเคยเก่าๆทำให้เกิดความไว้วางใจและอยากที่จะสานต่อความสัมพันธ์ครั้งเก่าก่อนให้ลึกซึ้งกว่าเดิม 
                     จะเห็นได้ว่า ความรักแบบโรแมนติก สามารถมาได้ 2 ทางคือ เริ่มต้นจากความเสน่หาก่อนแล้วจึงไปผสมกับความรู้สึกสนิทสนมผูกพันในภายหลัง หรือเริ่มจากความสนิทสนมผูกพันกันมาก่อน แล้วจึงเกิดความเสน่หาตามมา
                2.2 รักแบบเพื่อนที่รู้ใจ (Companionate love) 
                      คู่รักบางรายหลังจากที่ได้รู้จักสนิทสนมกันมาจนเกิดความผูกพันทางใจอย่างเหนียวแน่น เมื่อถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่า " แยกจากกันไม่ได้ " เกิดความต้องการที่จะอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา การให้คำมั่นสัญญา จึงบังเกิดขึ้น กรณีเช่นนี้มักเกิดกับคู่รักที่มีอายุมากกว่าเกณฑ์ปกติที่จะแต่งงานกัน จึงไม่มีความรักใคร่แบบเสน่หาที่มีตัณหาราคะเป็นองค์ประกอบหลัก แต่เป็นความรักแบบเพื่อนที่รู้ใจ เพียงแต่มีมากกว่าความเป็นเพื่อนธรรมดา เพราะเป็นคู่ชีวิตกัน ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า Companionate marriage ในความหมายของการแต่งงานที่คู่สมรสต่างไม่ต้องการมีบุตร แต่ต้องการเพียงเพื่อนคู่ชีวิตเท่านั้น

แบบที่่ 3 เริ่มจากการให้คำมั่นสัญญา (Commitment) 
                ในวัฒนธรรมที่การแต่งงานเป็นแบบ " คลุมถุงชน " คือ พ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ เป็นคนจัดหาคู่ให้ที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Arranged marriage นั้น ความรักของคู่รักไม่ได้เริ่มต้นในแบบธรรมชาติ จึงไม่เคยได้สัมผัสกับความรู้สึกต่างๆตามขั้นตอน ความรักที่เริ่มต้นด้วยวิธีนี้ จะมีเส้นทางของมันได้ 2 ลักษณะ คือ 
               
 3.1 รักแบบเพื่อนที่รู้ใจ (Companionate love) 
                 ถึงแม้จะไม่ได้เริ่มต้นความรักในแบบธรรมชาติก็ตาม แต่หากคู่รักมีความรู้สึกที่ดีและจริงใจต่อกัน ต่างฝ่ายต่างมีคุณสมบัติที่ดีของการเป็นสามีภรรยาให้แก่กัน รวมทั้งมีปัจจัยเกื้อหนุนชีวิตคู่อย่างเหมาะสม ชีวิตรักก็สามารถดำเนินไปถึงจุดที่ทำให้เกิดความผูกพันลึกซึ้ง (Intimacy) ทำให้มีความสุขและประสบความสำเร็จในระยะยาวได้เช่นกัน มีผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับประเภทของความรักที่ทำให้คู่รักสามารถครองรักกันได้นานที่สุด ซึ่งพบว่า คู่รักที่เริ่มต้นแบบ pragmatic love คือ คำนึงถึงความเหมาะสมรอบด้านอย่างมีเหตุผล เช่น ฐานะทางเศรษฐกิจ ระดับการศึกษา ศาสนา เชื้อชาติ วัฒนธรรมเดียวกัน จะมีชีวิตคู่เฉลี่ยที่ยาวนานกว่า ส่วนจะมีความสุขมากกว่าหรือไม่นั้น ไม่มีการกล่าวถึง
                 
3.2  ความรักแบบหลงใหลคลั่งไคล้ (Fatuous love)     
                  รักที่เริ่มต้นจากการคลุมถุงชน ก็อาจมีความรักแบบเสน่หารัญจวนใจได้หากมีองค์ประกอบที่ทำให้เกิดขึ้น เช่น ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายต่างมีลักษณะน่าดึงดูดใจทางเพศ อาจเป็นเรื่องเรือนร่าง สัดส่วนของฝ่ายหญิง หรือ ร่างกายที่กำยำแข็งแรงของฝ่ายชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสามารถในเรื่องเพศสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย ทำให้เกิดบรรยากาศของความรักที่คำโบราณกล่าวไว้ว่า ระยะข้าวใหม่ปลามัน
                   เมื่อเวลาผ่านไป ความรักจะมีการพัฒนาไปตามลำดับ คู่รักที่มีความลงตัวกันในคุณสมบัติสำคัญๆที่ทำให้ความรักประสบความสำเร็จ (จะกล่าวในบทท้ายๆเป็นการเฉพาะอีกครั้งหนึ่ง) ก็จะมีความสุขในชีวิตคู่ซึ่งกลายเป็นพลังขับเคลื่อนให้รักนั้นก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง องค์ประกอบของความรักที่ขาดหายไปในช่วงแรกๆก็จะถูกค้นพบและได้รับการเติมเต็ม จนความรักสามารถเดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางที่เรียกว่า " ความรักที่สมบูรณ์ " (Consummate love) คือ มีทั้ง ความมีเสน่ห์ทางเพศ ความรู้สึกผูกพัน และความมั่นคงในคำมั่นสัญญา รวมทั้งความรักแบบอื่นๆที่เป็นส่วนผสมขององค์ประกอบหลักทั้งสามนี้ในสัดส่วนที่แตกต่างกันไปตามกาลเวลา หากคู่รักใดเลือกเดินผิดทาง หรือเดินหลงทางด้วยความประมาท ความรักที่เริ่มต้นด้วยดีก็อาจล่มสลายลงอย่างคาดไม่ถึง 

ในตอนต่อไปซึ่งเป็นตอนที่ 3 และตอนสุดท้ายของหัวข้อนี้ จะพูดถึง ความหมายของสามเหลี่ยมแห่งรัก ในเชิงลึก รวมถึงวิธีแก้ไขหากสามเหลี่ยมแห่งรักของคู่รัก มีความแตกต่างกันมากๆ 






วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

ทฤษฎีว่าด้วยความรัก (1)


วันนี้ผมขอเริ่มบทใหม่ที่น่าสนใจมากและมีเนื้อหาที่คิดว่าหลายๆท่านไม่เคยทราบมาก่อน คือ ทฤษฎีว่าด้วยความรัก
ความรัก มีทฤษฎี !? ………….อะไรกันนักหนา………. หลายท่านเริ่มไม่พอใจ

ใช่แล้วครับ…..มันมีทฤษฎีรองรับมากมายเกินกว่าที่เราเคยรู้กันมา
แต่เป็นเพราะพวกเราเกือบทุกคนไม่เคยสนใจ ไม่ไขว่คว้าหาความรู้เพิ่มเติมให้เพียงพอก่อนที่จะริรัก นึกว่ามันเป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องของสามัญสำนึก พอกระโจนขึ้นเวทีรักก็ไม่ยอมเสียเวลาไหว้ครูอุ่นเครื่องก่อน เหวี่ยงหมัดชกลมแบบมวยทะเลผสมมวยวัด เลยโดนหมัดสวนกลับโป้งเดียวจอดหามลงเวทีหมดอนาคตไป

เพราะฉะนั้น จากนี้ไป ถึงเวลาแล้วที่ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม จะต้องเร่งหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อปรับมาตรฐานทางความรู้ ความคิด ทัศนคติ ค่านิยม ความเชื่อเกี่ยวกับความรักให้ใกล้เคียงกัน จะได้พอพูดกันรู้เรื่อง คนเราเมื่อพูดกันด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ก็จะแก้ปัญหาได้ง่ายขึ้น หากยังคงปล่อยให้เป็นอยู่อย่างนี้กันต่อไป ก็เป็นอันเชื่อได้แน่ว่า ปัญหาเรื่องคนอกหัก รักคุดแล้วฆ่าตัวตาย ฆ่ากันตายจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดปัญหาสังคมอื่นๆตามมาอีกมาก  ท่านเป็นผู้หนึ่งที่มีโอกาสได้รับความรู้เรื่องรักๆใคร่ๆจาก blog นี้ ซึ่งผมหวังว่าท่านเองจะได้รับประโยชน์ตามสมควร อย่างน้อยที่สุดก็เหมือนมีโค้ชประจำตัว ต่อไปเรื่องรักใครชอบใครก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับท่านอย่างที่เคยเป็นมา อย่างไรก็ตาม ต้องมีความตระหนักว่า
              ความรักไม่เคยง่าย หากง่ายจนผิดปกตินั่นย่อมไม่ใช่ความรัก
                 แต่เป็นความหลง ซึ่งเมื่อใครหลงเข้าไป ก็หาทางออกไม่เจอ
เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

ทฤษฎีว่าด้วยความรัก (Theories of Love)
           ในกลุ่มนักวิชาการที่ทำการศึกษาวิจัยในหัวข้อนี้ที่โดดเด่นเห็นจะไม่มีใครเกิน Dr. Robert Sternberg นักจิตวิทยาชาวอเมริกันแห่งมหาวิทยาลัยทัฟส์ (Tufts University) ทั้งนี้เพราะแนวคิดของท่านได้รับการอ้างถึงอยู่เสมอในแวดวงนักวิชาการ ประกอบกับเป็นแนวคิดที่เข้าใจง่ายเป็นเหตุเป็นผลดี โดยท่านได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับความรักไว้ในปี ค.. 1986 ดังนี้
ความรัก มี 3 องค์ประกอบหลัก คือ
1.    ความเสน่หา (Passion) หมายถึง ความหลงใหลในเสน่ห์ทางเพศ (sex appeal) มีความรู้สึกพึงพอใจในเรือนร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ทรวดทรงองค์เอว และลักษณะทางเพศอื่นๆ รวมไปถึงจริตกิริยามารยาท น้ำเสียง รู้สึกเย้ายวนรัญจวนใจ กระทั่งตกหลุมรักในที่สุด เกิดแรงขับที่จะทำความรู้จักและสร้างสัมพันธภาพกันต่อไป เป็นแรงปรารถนาอันเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศทั้งหญิงและชาย เริ่มตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นตอนปลายต่อเนื่องไปถึงช่วงอายุระหว่าง 20-35 ปี ความสัมพันธ์ที่มีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องด้วยดีทำให้เกิดความสนิทสนมไว้วางใจกัน และกระตุ้นให้มีแรงปรารถนาทางเพศต่อกัน ซึ่งมีทั้งผลดีและผลเสีย ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ เช่น ความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติ และการยอมรับ ที่สำคัญคือ ความจริงใจต่อกัน

2.    ความผูกพัน (Intimacy) หมายถึง ความผูกพันอันเกิดจากความใกล้ชิดสนิทสนมในฐานะคนรัก (แฟน) หรือคู่ครอง(ภรรยา-สามี) มาระยะหนึ่ง มีความอบอุ่นมั่นคงทางใจอันเกิดจากความเข้าใจและไว้วางใจกัน ทำให้ต้องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันต่อไป

        ก่อนหน้านั้น 2 ปี คือ ในปี ค..1984 ท่านและเพื่อนร่วมงานชื่อ Grajek ได้กำหนดคุณลักษณะของ ความกพัน เอาไว้ 10 ประการ คือ
1.  มีความปรารถนาที่จะทำให้คนรักมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
2. ได้ผ่านห้วงเวลาแห่งรัก (รักแรกพบ หลงรัก การเกี้ยวพาราสี การคบหาในแบบคู่รัก) กับคนรักมาก่อน
3.  รู้สึกห่วงใยและคำนึงถึงความรู้สึกของคนรักอย่างมาก
4.  เป็นที่พึ่งได้ในยามที่คนรักต้องการ
5.  มีความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นอย่างดี
6.  สามารถแบ่งปันทรัพย์สมบัติต่างๆรวมทั้งความทุกข์-สุขร่วมกับคนรักได้
7.  ได้รับการปลอบประโลมใจและกำลังใจจากคนรัก
8.  ให้การปลอบประโลมใจและกำลังใจต่อคนรัก
9.  พูดคุยสื่อสารกับคนรักได้อย่างลึกซึ้งและจริงใจ
10. เห็นคุณค่าในตัวคนรัก

3.   การตัดสินใจ (Decision) และการให้คำมั่นสัญญา (Commitment) เมื่อเราเริ่มรู้สึกรักใครสักคนมาถึงจุดหนึ่งเราต้องตัดสินใจว่า จะทำอย่างไรต่อไป Dr. Sternberg ได้แบ่งช่วงเวลาของการตัดสินใจออกเป็น 2 ช่วง คือ
1.    ช่วงแรก ในขณะที่เรากำลังตกหลุมรักในระยะแรกๆนั้น เราจะรู้สึกไม่มั่นคง เกรงว่าคนที่เรารักจะไปรักคนอื่น หรือมีใครมาแย่งคนรักไป จึงต้องรีบตัดสินใจ (Decision) ลงไปว่าจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่ หากตัดสินใจเดนหน้าต่อจนเกิดการพัฒนาเป็นที่น่าพอใจ ก็จะเข้าสู่ช่วงที่ 2 ต่อไป
2.     ช่วงที่ 2 เมื่อต่างฝ่ายต่างมีความต้องการตรงกัน โหยหาชีวิตคู่ร่วมกัน ก็จะมีการให้คำมั่นสัญญาต่อกัน (Commitment) และดำเนินการตามกฎเกณฑ์ทางสังคมต่อไป คือ การแต่งงาน
                      อนึ่ง ความสำคัญขององค์ประกอบทั้ง 3 นี้ จะแตกต่างกันไปในคู่รักแต่ละราย หรือแม้แต่ในคู่รักเดิมเมื่อเวลาผ่านไป