วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

ความรัก 9 ขั้นตอน


            ท่านคงจะเคยสงสัยมาก่อนเวลาได้ข่าวว่า เพื่อนคนนั้น ดาราคนโน้น ประกาศแยกทางกันทั้งๆที่ดูเหมือนว่าพวกเขารักกันมาก หรืออาจเคยฟังคำตัดพ้อของเพื่อนสนิทพูดถึงแฟนว่า เดี๋ยวนี้เขาไม่เหมือนเมื่อก่อน ไม่ค่อยสนใจดูแล ไม่เอาใจเหมือนตอนรักกันใหม่ๆ
เกิดอะไรขึ้นระหว่างเขาทั้งสอง?  พวกเขาไม่รักกันแล้วหรือ?
เพื่อตอบข้อสงสัยนี้ ผมจึงขอนำเอาหัวข้อหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่เต็มใจยอมรับ มาเล่าให้ท่านฟังกัน ขอตั้งหัวข้อว่า ความรัก 9 ขั้นตอน ก็แล้วกันนะครับ มีอะไรบ้างเชิญติดตามกันได้เลย
         1.  รักในจินตนาการ (Imaginary Love)
              เมื่อคนเรามีอายุย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาวก็มักจะเริ่มคิดถึงเรื่องความรัก แต่ละคนจะมีจินตนาการเกี่ยวกับคนรักแตกต่างกันไปตามความเชื่อ และทัศนคติของตนเอง ซึ่งเป็นผลมาจากการปลูกฝังโดยคุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงดู รวมทั้งข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น นิยายรัก ภาพยนตร์รักโรแมนติก เรื่องเล่าจากชีวิตจริง ฯลฯ ก่อเกิดเป็น ความรักในจินตนาการ (Imaginary Love) ขึ้นมา หลังจากนั้นสัญชาติญาณในตัวเราจะพยายามทำหน้าที่ของมันเมื่อโอกาสมาถึง นั่นก็คือ
         2.  รักแรกพบ (love at first sight)
             จึงเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว โดยมีตัวกระตุ้นอันทรงพลังที่เรียกว่า แรงขับทางเพศ (sex drive) ในตัวของเราแต่ละคน นำทางเราออกแสวงหาบุคคลพิเศษที่มี เสน่ห์ทางเพศ (sex appeal) เป็นที่ถูกตาต้องใจเรา เมื่อสองสิ่งนี้เดินทางมาบรรจบกันก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิกิริยาลูกโซ่ของความรักในขั้นตอนต่อๆไป
          3.  ความหลงรัก (Infatuation, Infatuated love)
                  คนที่กำลังมีความรักในช่วงต้นๆ เรามักพูดว่า คนๆนั้นกำลัง ตกหลุมรัก ทำให้เห็นภาพได้สมจริงมากขึ้น เพราะคนที่ตกลงไปในหลุมก็มักจะมีอาการบาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้าง บางคนตกลงไปในหลุมที่ลึกจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้ขึ้นมาจากหลุมได้ ส่วนคนที่อาการหนักสักหน่อยก็เปรียบเปรยว่าตกลงไปใน ห้วงรักเหวลึก คือหนักหนากว่าคนตกหลุมตื้นๆ  คนที่กำลังมีความรักในระยะนี้จะหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องคนที่เขาหรือเธอแอบรักจนไม่มีสมาธิในการเรียนหรือทำงาน แต่จะเต็มไปด้วยแรงปรารถนาที่จะหาโอกาสสร้างสัมพันธภาพรักให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด เหตุผลหนึ่งเพราะกลัวมีใครจะมาแย่งชิงไปครองเสียก่อน บางรายถึงแม้จะรู้ว่าเขาหรือเธอมีคนรักอยู่แล้วก็ไม่วายที่จะพยายามทำให้คนที่ตนหลงรักเปลี่ยนใจ ความรักแบบนี้จึงเป็นความหลง เป็นเรื่องของอารมณ์อันเกิดจากการหลงใหลในเสน่ห์ทางเพศ
          4.  การเกี้ยวพาราสี (Courting) 
               เกิดขึ้นได้เมื่อความกล้าอยู่เหนือความกลัว โดยทั่วไปเพศชายมักเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เริ่มด้วยพฤติกรรมจิตอาสาบริการต่างๆ ทำทุกอย่างให้ด้วยความยินดี มีความสุขอันเกิดจากความหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอีกฝ่ายมีการตอบสนองที่ดี มีความจริงใจไม่หลอกลวง ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาและการลงทุนไม่นานก็สามารถก้าวไปสู่ขั้นต่อไป
              5.  ระยะรักหวานซึ้ง (Romance, Romantic Love)
           กระบวนการสร้างสายสัมพันธ์แห่งรักจะเดินหน้าต่อจากขั้นเกี้ยวพาราสีไปสู่การอุทิศทุ่มเทเวลาให้แก่กัน มีกิจกรรมที่หลากหลายร่วมกันมากขึ้น เป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายต่างเรียนรู้อุปนิสัยของกันและกัน ตรวจสอบรสนิยม ค่านิยม ความเชื่อ ปรัชญา เป้าหมายของชีวิต คุณภาพทางความคิดที่ลึกซึ้งมากขึ้น นับเป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่ดีเพราะจะมีเหตุการณ์ที่น่าประทับใจเกิดขึ้นมากมาย น่าเสียดายที่ของดีมีน้อย ผลจากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการด้านนี้ พบว่า อายุขัยเฉลี่ยของความรักระยะ romantic นี้จะยืนยาวอยู่เพียง 6-18 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นความรู้สึกของคนทั้งสองจะเปลี่ยนไป ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะเซลสมองเริ่มดื้อต่อสารเคมีที่ทำให้เกิดความสนุกตื่นเต้นมีชีวิตชีวา ประกอบกับความแปลกใหม่ น่าท้าทาย ชวนให้ค้นหาลดลง ในด้านหนึ่งนับเป็นช่วงอันตรายสำหรับฝ่ายหญิงหากคบกับผู้ชายที่เป็นโรคเสพติดรักประเภท Romantic love addicts ซึ่งจะได้กล่าวถึงอีกครั้งโดยละเอียดในบทที่ว่าด้วย โรคเสพติดรัก แต่หากทั้งสองมีความเข้ากันได้ดี มีหลายอย่างที่เหมาะสมกัน ความรักก็สามารถเดินหน้าเข้าสู่ระยะต่อไปได้
          6.  ความผูกพัน (Attachment)
               เมื่อความรักระหว่างหนุ่มสาวดำเนินมาด้วยดีจนถึงจุดหนึ่ง ต่างมีความรู้สึกผูกพันกันมากขึ้นจนกระทั่งรู้สึกว่าแยกจากกันไม่ได้ ต้องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาตลอดไป เป็นความรู้สึกผูกพันกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันจนถึงระดับที่ไม่ต้องการรอคอยอะไรอีกต่อไป ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายจะเริ่มมีความคิดว่า ต้องทำให้เกิดความชัดเจนเสียที ก้าวต่อไปจึงเกิดขึ้น นั่นก็คือ การตัดสินใจและการให้คำมั่นสัญญา
             7.  การตัดสินใจ (Decision) และ การให้คำมั่นสัญญา (Commitment)
              ในขณะที่ความรักกำลังดำเนินไปนั้น คู่รักทั้งสองจะเกิดความรู้สึกผูกพันต่อกันขึ้นเป็นลำดับ กระทั่งถึงจุดที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดความต้องการที่จะอยู่กับคนรักตลอดไป จึงต้องตัดสินใจบอกรักกับอีกฝ่าย รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาต่างๆเกี่ยวกับการสร้างอนาคตร่วมกัน หากเป็นความต้องการที่ตรงกัน เรื่องราวต่อจากนั้นจะง่ายขึ้น แต่หากอีกฝ่ายยังไม่มั่นใจหรือไม่พร้อมด้วยเหตุผลอื่นๆ ก็อาจมีการประวิงเวลาออกไป ความราบรื่นของความรักในคู่รักแต่ละคู่ย่อมแตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัย  ขั้นตอนนี้จึงถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เกิดปัญหาได้มากที่สุดอีกช่วงหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฝ่ายหนึ่งเป็นคนรักประเภทเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ หึงหวงรุนแรง (Manic lover) ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในบทที่ว่าด้วย ประเภทของความรัก หากสามารถผ่านด่านนี้ไปได้ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
        8.  ความผูกพันอันเกิดจากความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง (Intimacy)
              เมื่อคู่รักทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความเข้าใจ ให้เกียรติและจริงใจต่อกัน ความรักของคนทั้งสองจะเจริญงอกงามขึ้นตามกาลเวลา ยากที่จะมีสิ่งใดมาขวางกั้น นอกจากอุบัติเหตุทางอารมณ์ที่เกิดจากความประมาทพลั้งเผลอ
          9.  ความรักขั้นสมบูรณ์ (Consummate love)
            เป็นความรักที่มีองค์ประกอบหลักครบ แต่สัดส่วนอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เช่น ความรักแบบเสน่หาหรือความต้องการทางเพศลดน้อยถอยลงตามวัยที่มากขึ้นในขณะที่ความผูกพันทางใจ ความเป็นเพื่อนคู่ใจ (Companionate lover) และความมั่นคงต่อสัญญาใจระหว่างกันมีเพิ่มมากขึ้น คู่รักใดที่ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆในชีวิตมาถึงจุดนี้ได้ ย่อมหมายความว่า ได้เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางแห่งรักแล้ว คู่รักทั้งสองจะเกิดความปีติและอิ่มเอมใจในรักขั้นสูงสุด อย่างไรก็ตาม ความรักขั้นนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในวัยสูงอายุ หากคู่รักนั้นมีปัจจัยเกื้อหนุนเพียงพอ ความรักก็จะมีพัฒนาการได้อย่างรวดเร็ว ในทางกลับกัน คู่รักสูงวัยจำนวนไม่น้อยกลับมีความไม่ลงรอยกัน ทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำจนบั่นทอนความสุขในชีวิตบั้นปลายอย่างน่าเสียดาย

สำหรับท่านที่กำลังมีความรักอยู่ในเวลานี้   ความรักของท่านเดินทางมาถึงขั้นตอนที่เท่าไหร่แล้วครับ
ครั้งต่อไปเป็นหัวข้อที่ถือได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความรักขึ้น เสน่ห์ทางเพศและความมีเสน่ห์




วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

ความหมายของรูปสามเหลี่ยมแห่งรัก (1)


ความหมายของสามเหลี่ยมแห่งรัก
Dr. Sternberg ได้ให้ความหมายของสามเหลี่ยมแห่งรักไว้อย่างลึกซึ้ง ดังนี้
     1.   ขนาดของสามเหลี่ยม แสดงถึง ปริมาณ ของความรัก คือ สามเหลี่ยมขนาดเล็ก แสดงถึงความรักน้อย สามเหลี่ยมขนาดใหญ่แสดงถึงความรักมาก 



             2.    รูปร่าง ของสามเหลี่ยมแสดงถึง ความคิด อารมณ์ความรู้สึกและพฤติกรรม ของคนรักแต่ละคนที่มีต่อคนรักของตน 
            รูปสามเหลี่ยมต่อไปนี้แสดงถึงสัดส่วนขององค์ประกอบหลักทั้งสาม คือ ความเสน่หา ความผูกพัน และ คำมั่นสัญญา รูปสามเหลี่ยมด้านเท่า (แสดงด้วยสีม่วง) หมายถึง ความรักที่มีสัดส่วนขององค์ประกอบทั้งสามในสัดส่วนเท่าๆกัน ถือว่าเป็นความรักต้นแบบ ส่วนสามเหลี่ยมรูปร่างอื่นๆ(แสดงด้วยสีเขียว) หมายถึง ความรักที่มีองค์ประกอบหลักทั้งสามในสัดส่วนที่ต่างกัน ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา โดยมีปัจจัยกระตุ้นต่างกันไปในคู่รักแต่ละราย
            สัดส่วนขององค์ประกอบที่แตกต่างกันนี้ ทำให้เกิดรูปแบบของความรักได้อีกหลายแบบ คือ
      1. รักแบบหลงใหลเสน่หา (Passionate love) ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายมีความต้องการเรื่องตัณหาราคะ หรือความสุขทางเพศมากกว่าเรื่องอื่น เป็นความรักที่เกิดจากแรงขับตามธรรมชาติ เป็นความรู้สึกเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในสัตว์ ต่างกันตรงที่ว่า สัตว์ไม่มีความรู้สึกผูกพัน ยกเว้นในบางสายพันธุ์ที่นักวิชาการได้ศึกษาวิจัยจนสามารถยืนยันแล้วว่า พวกมันก็มีความรักความผูกพันและอยู่กันแบบผัวเดียวเมียเดียวตลอดอายุขัย เช่น นกเงือก นกกระเรียน นกเพนกวิน สัตว์ตระกูลหนูชื่อ Prairie vole ฯลฯ
     2.  รักสมดุล มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมด้านเท่า มีสัดส่วนทั้งสามองค์ประกอบพอๆกัน
3. เสน่หาเจือจาง คู่รักมีเพศสัมพันธ์ลดลงอันเนื่องมาจากภาระหน้าที่เพิ่มมากขึ้น อาจเป็นเพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย หากเกิดขึ้นฝ่ายเดียวก็อาจทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดปัญหาทางอารมณ์ ถ้าระดับคุณธรรมศีลธรรมไม่เข้มแข็ง ก็อาจนำไปสู่พฤติกรรมเสื่อมเสียได้ เช่น การนอกใจคู่สมรส ในปัจจุบันการมีกิ๊กอาจถือได้ว่าเป็นรูปแบหนึ่งของการนอกใจ ไม่ต่างกับการเป็นชู้ทางใจ ซึ่งเมื่อปล่อยให้เหตุการณ์ของการคบหาดำเนินต่อไป ก็อาจจบลงด้วยการมีเพศสัมพันธ์ในที่สุด
4.    รักเอื้ออาธร เป็นรักของผู้สูงอายุ เกิดจากความผูกพันกันมาอย่างยาวนาน มีความต้องการที่จะดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน มีความรู้สึกว่าต้องช่วยเหลือกันเพราะต่างยึดมั่นในคำมั่นสัญญาในวัยหนุ่มสาว เป็นความรักแบบที่เรียกกันว่า รักกันจนถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร ซึ่งหาได้ยากขึ้นในปัจจุบัน
                      
                       สามเหลี่ยมแห่งรักนี้ Dr. Sternberg อธิบายว่า นอกจากจะหมายถึง ความรู้สึกที่เรามีต่อคนรักแล้ว ยังหมายถึงความรักที่คนรักมีต่อเราด้วย ที่กล่าวมาข้างต้นนี้จึงถือเป็นภาพรวมของความรักระหว่างคนรักทั้งสองคนที่จะต้องได้สัดส่วนกัน เมื่อนำมาวางซ้อนกันไม่ควรจะมีความขาดหรือเกินกันไปในมุมหนึ่งมุมใดหรือหลายมุมในปริมาณที่มากเกินไป ดังนั้น การที่ความรักจะพัฒนาไปจนถึงขั้นสูงสุดได้นั้น จึงจำเป็นที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีความสอดคล้องกันในรูปแบบของความรักด้วย หากยึดถือเอารูปสามเหลี่ยมแห่งรักของ Sternberg นี้เป็นหลัก ก็จะทำให้สามารถสำรวจความรักของตนเองและของคนรักได้อย่างเป็นรูปธรรมได้ง่ายขึ้น

ความหมายของสามเหลี่ยมแห่งรัก (2)


ความสอดคล้องของสามเหลี่ยมแห่งรักระหว่างคู่รัก
                   คู่รักแต่ละคู่จะมีรูปร่างของสามเหลี่ยมแห่งรักแตกต่างกันอย่างไร ขนาดใหญ่หรือเล็ก ยอดเหยียดตรง เอียงไปทางซ้ายหรือขวานั้น ขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพซึ่งหมายถึง ค่านิยม ความเชื่อ ทัศนคติ รวมไปถึง ประสบการณ์ความรักในอดีต สามเหลี่ยมแห่งรักระหว่างคนทั้งสองเมื่อนำมาทาบซ้อนกัน จะมีความสอดคล้องใกล้เคียงกันหรือเหลื่อมกันมากน้อยอย่างไร จะสามารถบ่งบอกถึงอนาคตแห่งรักของคู่รักนั้นๆได้
                    ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของสามเหลี่ยมแห่งรักแบบต่างๆของคู่รักที่นำมาทาบซ้อนกัน เพื่อให้ท่านได้ทดสอบความรู้ความเข้าใจ สำหรับท่านที่ไม่สมหวังในรักมาก่อน เมื่อได้ทบทวนถึงคุณลักษณะต่างๆขององค์ประกอบหลักเหล่านี้ทั้งของท่านเองและของอดีตคนรัก  ก็อาจจะทำให้ท่านเข้าใจถึงเหตุแห่งความล้มเหลวได้ง่ายขึ้น  ส่วนท่านที่กำลังมีความรักอยู่พอดี ไม่ว่าความรักของท่านกำลังเป็นไปด้วยดี หรือกำลังเริ่มมีปัญหาขึ้นมาบ้างแล้ว  ความรู้ในบทนี้คงพอช่วยให้ท่านวิเคราะห์ เข้าใจ และปรับเปลี่ยนบางสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้รักของท่านทั้งสองยืนยาวต่อไปได้ หรือหากได้ข้อสรุปตรงกันว่า ไปด้วยกันไม่ได้แน่นอนแล้ว ก็จะเกิดการยอมรับด้วยกันทั้งสองฝ่ายด้วยเหตุผล ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ และสามารถจากกันด้วยดี ไม่ถึงกับต้องทำร้ายร่างกายหรือฆ่าแกงกันเหมือนคนอื่นๆเขา

                คู่รักที่มีสามเหลี่ยมแห่งรักใกล้เคียงกันทั้งขนาดและรูปร่าง จะมีความสุข สมหวังในชีวิตคู่ได้มากกว่าคู่รักที่มีรูปสามเหลี่ยมแห่งรักต่างกัน แต่ควรระลึกไว้เสมอว่า ความรักเป็นสิ่งเปราะบาง ต้องการการดูแลเอาใจใส่และบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอเพราะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามเหตุปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
                ประเด็นความสอดคล้องของรูปสามเหลี่ยมแห่งรักนี้ อาจมีความหลากหลายได้มากกว่านี้อีกมาก เพราะความรักเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดและความสลับซับซ้อนมากที่สุดเรื่องหนึ่งในชีวิตของคนเรา  ผู้อ่านสามารถใช้เรื่องราวของตนเองเป็นแบบฝึกหัดเพื่อทดสอบองค์ความรู้นี้ได้โดยปลอดภัย เพราะไม่มีใครจะมารู้ความลับของท่านได้ ผลดีก็คือ ท่านสามารถพยากรณ์อนาคตของความรักให้กับตัวเองได้ จะแม่นยำเพียงใดขึ้นอยู่กับความถูกต้องของข้อมูล  หากผลออกมาค่อนข้างเป็นลบ แต่ท่านยังมีความมุ่งมั่นต่อคนรัก ก็จำเป็นที่จะต้องมีการยกเครื่องความคิด ทัศนคติ รวมทั้งพฤติกรรมของท่านที่อีกฝ่ายไม่พึงปรารถนา หาไม่แล้วโอกาสของท่านก็อาจหลุดลอยไป ทุกท่านต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ความรัก เป็นสิ่งที่บังคับกันไม่ได้ แต่สามารถสร้างขึ้นมาได้ โดยต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมาก  ประการสำคัญที่สุดก็คือ องค์ความรู้ที่ถูกต้องและมากพอ รวมทั้งต้องมีการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอกับคนที่เรารักด้วยความจริงใจ โดยต่างฝ่ายต่างต้องมีความจริงใจต่อกัน หาไม่แล้วก็จะไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน เพราะจะเกิดสถานการณ์ที่ว่า อีกฝ่ายหนึ่งหลอกลวงฝ่ายที่มีความจริงใจ จนถึงจุดที่ฝ่ายจริงใจหมดความอดทนเพราะสูญเสียทรัพย์สิน กำลังใจและเวลาไปมากมาย ก็จะเลิกราไปในที่สุด
              
                 อีกประเด็นหนึ่งที่พบบ่อยๆก็คือ ความคิดเดิมๆที่ว่า ต้องให้ได้ตัวมาก่อนแล้วก็จะได้หัวใจภายหลังนั้น มักจะกลายเป็นต้นเหตุของความสูญเสีย และทำให้เกิดโศกนาฏกรรมแห่งรักในสังคมไทยมาทุกยุคสมัย และจะยังคงเกิดขึ้นซ้ำซากเช่นนี้ต่อไปตราบเท่าที่คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยยังมีความรู้และทัศนคติผิดๆเกี่ยวกับความรัก ด้วยพฤติกรรม 2 อย่าง คือ
                             1.  รักตัวเองมากกว่าคนรัก
                             2.  รักคนรักมากกว่าตัวเอง

จะแก้ไขอย่างไรหากสามเหลี่ยมแห่งรักแตกต่างกันมาก       
              หากเรายอมรับว่า ปัญหาทุกอย่างเกิดแต่เหตุ ความรักที่เกิดความไม่ลงรอยกันย่อมต้องมีสาเหตุ ความรักเกี่ยวข้องกับตัวแปรมากมาย ความยากง่ายของการแก้ไขจึงแตกต่างกันไปในแต่ละคู่ เหตุผลหลักที่ถูกนำมาอ้างกันบ่อยที่สุดเวลาคู่รักต้องเลิกรากันก็คือ เราเข้ากันไม่ได้ ซึ่งหมายถึงอุปนิสัยที่ไปด้วยกันไม่ได้มากกว่าเรื่องอื่นๆ จึงน่าสงสัยว่า เมื่อเริ่มต้นรักกันใหม่ๆทำไมจึงเข้ากันได้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
                        1.  คนส่วนใหญ่เริ่มต้นรักคนอื่นจากความรักตัวเองก่อน
                        2.  รักเพราะเธอสวย รักเพราะเขารวย ซึ่งเป็นเรื่องของผลประโยชน์ คือ ตอบสนองความต้องการของตนเองเป็นหลัก จึงเกิดการสร้างภาพลวงตาขึ้นมาให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจผิด                                               
                
              ดังนั้น เมื่อเริ่มต้นจากทัศนคติผิดๆ ย่อมเสี่ยงต่อความล้มเหลว ไม่ช้าก็เร็ว
                
             เช่นนี้แล้ว จะแก้ไขกันอย่างไร
             ก็ต้องเริ่มจากการมีความรู้และทัศนคติที่ถูกต้องในเรื่องความรัก
             เราทุกคนต้องรู้จักความรักอย่างถ่องแท้ เริ่มตั้งแต่ความหมายที่ถูกต้อง องค์ประกอบหลักๆ และธรรมชาติของความรักว่า มีการเปลี่ยนแปลงได้ตามเหตุปัจจัย ตลอดจนวิธีการถนอมเลี้ยงดูรักนั้นอย่างถูกวิธี
           
              ถึงแม้จะไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่จะทำ  แต่ก็ไม่ยากหากคิดจะทำ

             แล้วจะทำอย่างไรเพื่อป้องกัน หรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่มาของหัวข้อ Blog นี้ว่า รักอย่างไรให้สมหวัง 

คำตอบจึงอยู่ที่การผสมผสานองค์ความรู้ต่างๆ ตั้งแต่บทแรกจนถึงบทสุดท้าย ซึ่งในบทท้ายๆของ Blog นี้จะพูดถึง  หัวข้อนี้เป็นการเฉพาะอีกครั้งหนึ่ง

ครั้งต่อไป ผมจะขอนำเสนอท่านในหัวข้อ ความรัก 9 ขั้นตอน ซึ่งจะทำให้ท่านเข้าใจ อารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลงไปในตัวท่านเองและคนรักของท่านในแต่ละระยะของความรักได้มากขึ้น จะได้มี สติ ตั้งรับกับปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา