วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อกหัก.........ช่วยด้วย (4)


ระดับของอาการ อกหัก
           เมื่อใช้ความรุนแรงเป็นเกณฑ์ สามารถแบ่งอาการอกหักออกเป็น 2 ระดับ คือ
       1. ระดับปกติ
           ผู้คนจำนวนมากในโลกนี้ผิดหวังในรัก เพราะความรักจะสมหวังได้ต้องอาศัยปัจจัยมากมาย ในบท ความเข้ากันได้ของคู่รักให้ความรู้หลายอย่างกับเราก็จริง แต่ภาคปฏิบัตินั้นยากยิ่งนัก แม้จะเตรียมตัวมาอย่างรอบคอบเพียงใดก็ไม่มีหลักประกันถึงความสำเร็จ เพราะ
                    
                  ความรักเป็นเรื่องของกระบวนการ ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ที่ประกอบสำเร็จ

           ความรักเป็นส่วนผสมของอารมณ์ความรู้สึก ความปรารถนา ความคิด พฤติกรรม และจิตวิญญาณ ซึ่งไม่หยุดนิ่ง จำต้องมีอะไรบางอย่างเป็นตัวขับเคลื่อนให้มีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ความรักที่มีแต่เพียงความเข้ากันได้ในเรื่องฐานะทางสังคม, ระดับการศึกษา, หน้าที่การงาน, การเงิน, เพศสัมพันธ์ แต่ไม่มีการยกระดับของจิตวิญญาณ ย่อมเคลื่อนไปไม่ได้ไกล เหตุเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องผิวเผินภายนอก ไม่จีรัง
           
           คนปกติทั่วไปเมื่ออกหัก จะใช้เวลา เฉลี่ยประมาณ 3เดือนในการรักษาแผลใจ จึงจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้ ไม่น้อยที่สามารถสร้างสัมพันธภาพรักกับคนใหม่ได้
           
            คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมคนอกหัก บางคน ฆ่าตัวตาย ในขณะที่จำนวนมากเลือกวิธีที่สร้างสรรค์กว่า
            เป็นไปได้ไหมว่า คนที่เลือกจะมีชีวิตอยู่ มีคุณสมบัติต่อไปนี้
1.    มีความรู้ ความเข้าใจเรื่อง ความรัก ดีพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ในยามคับขัน
2.    มีบุคลิกภาพที่เข้มแข็งกว่า
3.    มีสติดีกว่า ถึงแม้ปัญญาอาจด้อยกว่า (เพราะเราพบเห็นกันอยู่บ่อยๆว่า คนปัญญาดี มีความรู้สูง แต่ไม่ช่วยอะไรพวกเขาได้เลยเมื่อขาดสติ)
4.    มีปัญหารุนแรงน้อยกว่า เช่น คบกันมาไม่นานนัก ยังผูกพันกันไม่มาก ยังลงทุนไปไม่มาก, เริ่มเห็นความไม่ดีของคนรักมากขึ้นในระยะหลังๆ, กำลังมองคนใหม่อยู่พอดี ฯลฯ
5.    มีความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient-E.Q.) มากกว่า ใช้ตรรกะมากกว่าอารมณ์ทำให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่า (คล้ายๆกับข้อ 3.)
6.    มีระดับของจิตวิญญาณ (Spiritual Quotient-S.Q.) สูงกว่า มีความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นไปของชีวิตได้อย่างลึกซึ้ง สามารถให้อภัยคนที่ทำให้ผิดหวัง ไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตพยาบาท มี อภัยทานเป็นหลักในการดำเนินชีวิต
7.    ………………………………………………………………………………………….
8.    ………………………………………………………………………………………….
            ที่ว่างนี้ไว้ให้คุณลองออกกำลังสมองสักหน่อยครับ
            ด้วยคุณสมบัติดีงามเหล่านี้กระมัง ที่เป็นเกราะป้องกันภัยและนำพาพวกเขาออกจากห้วงเวลาเลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งของชีวิตได้

       2. ระดับไม่ปกติ
            การฆ่าตัวตายจากสาเหตุผิดหวังในรักเป็นเรื่องปกติหรือไม่ ?
            หากใช่! ก็ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องทำอะไร ใช่ไหม ?

            บางคนอาจนึกสมเพทและซ้ำเติมว่า ถ้าคิดได้แค่นั้นก็สมควรตาย โดยไม่เฉลียวใจว่า หากเรื่องนี้เกิดกับลูกหลานของตัวเองเข้าสักวัน จะยังคงคิดเช่นนี้อยู่อีกหรือไม่
            
            ผมเดาใจคนส่วนใหญ่ว่าจะมีความเห็นใจและสงสารคนอกหัก โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ไม่เห็นด้วยกับวิธีการดังกล่าวแต่ไม่ทราบจะช่วยเหลืออย่างไร ผมอยากจะสรุปว่า คนส่วนใหญ่คิดว่า การฆ่าตัวตายไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง แต่เป็นการแสดงออกของอาการอกหักในระดับไม่ปกติ ไม่ว่าจะมีเหตุผลอย่างไรก็ตาม เพราะยังมีหนทางอื่นให้เลือกอีกมาก หนทางหนึ่งที่ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยนอกจากเวลา คือการค้นคว้าหาความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของความรักและรู้จักวิธีรับมือกับมันอย่างถูกต้อง หนักจะกลายเป็นเบา

             เหตุใดกันแน่ที่ทำให้ คนอกหัก หาทางออกกันไม่ค่อยเจอ และมักเสียเวลาอยู่ ณ จุดหนึ่งนานเกินไป ผมอยากให้คุณกลับไปดูที่ ความคิด กันอีกครั้งหนึ่ง ว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนั้น

อกหัก..........ช่วยด้วย (3)


ทำไมคนเราจึงอกหัก ?
       อกหัก……ดีกว่ารักไม่เป็น !   
       คุ้นไหมครับ ประโยคนี้
       ช่วยปลอบใจได้ดีทีเดียว แต่ความหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร
       คนอกหักอาจจะอยากบอกว่า ฉันก็มีความรักนะ ไม่ใช่คนไม่มีหัวใจ
       ทำให้บางคนอยากย้อนถามว่า ถ้ารักเป็นแล้วทำไมยังอกหักล่ะ
       เพราะฉะนั้น ถ้าพูดว่า  อกหัก ดีกว่าไม่เคยมีรัก น่าจะถูกต้องกว่า
       แต่ผมอยากจะบอกว่า 
                                 อกหัก………เพราะรักไม่เป็น ต่างหากล่ะ
       
       พูดเหมือนซ้ำเติมกันชัดๆ ผมจึงอยากจะให้ความหมายของคำว่า  รักไม่เป็น ให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณากัน ดังนี้ครับ

   1.  รักผิดคน
              คือ รักคนที่ไม่เหมาะกับคุณ ไม่ได้หมายความว่า เขาหรือเธอเป็นคนไม่ดี เพียงแต่มีคุณสมบัติบางอย่างที่ไม่เอื้อต่อการใช้ชีวิตคู่ร่วมกับคุณ(ในระยะยาว) ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทก่อนว่า ผมให้ความสำคัญต่อ บุคลิกภาพ  มากที่สุด ซึ่งหมายถึง วิธีคิด ลักษณะของอารมณ์ในภาวะปกติและการจัดการกับอารมณ์ยามไม่ปกติ ตลอดจนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตทั่วๆไป นิสัยใจคอ เช่น ขยัน-ขี้เกียจ, ซื่อสัตย์-ขี้โกง, ถ่อมตัว-ขี้คุย, พูดน้อย-พูดมาก, เงียบขรึม-ร่าเริง, ชื่นชมคนเก่งคนดี-ขี้อิจฉา, มุ่งมั่น-เหลาะแหละ, ทะเยอทะยาน-มักน้อย, ความรับผิดชอบ, คุณธรรม ศีลธรรมเป็นอย่างไร ที่เหลือเป็นเรื่องที่มีความสำคัญรองลงไป เช่น ระดับการศึกษา, ฐานะทางการเงิน, รสนิยม, ศาสนา อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ควรมีความแตกต่างกันมากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดความขัดแย้งในระยะยาวได้
             
              สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ สังคมไทยยังมีลักษณะครอบครัวขยาย (extended family) อยู่มาก คือ มีคนหลายรุ่นอยู่ในบ้านเดียวกัน เช่น ปู่ ย่า ตา ยาย ลุง ป้า น้า อา พ่อ แม่ ลูก ญาติ  ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีคู่รักจำนวนไม่น้อยแยกบ้านไปอยู่เป็นครอบครัวเดี่ยว (nuclear family) กันแล้วก็ตาม แต่ยังคงได้รับอิทธิพลจากครอบครัวเดิมอยู่ ไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง ประเด็นนี้ได้สร้างปัญหาให้กับครอบครัวจำนวนมาก หากคู่รักของคุณเป็นคนขาดหลักการและไม่ยึดมั่นในเหตุผลที่ถูกต้อง ปล่อยให้พ่อแม่หรือสมาชิกในครอบครัวของเขาเข้ามาก้าวกายชีวิตคู่มากเกินไป หรือคุณเองก็ปฏิบัติในทำนองเดียวกัน ก็อาจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างคุณทั้งสอง จนนำไปสู่การล่มสลายของชีวิตครอบครัวในที่สุด ทั้งนี้ คุณควรพิจารณาตัวเองด้วยว่า มีข้อเสียอะไรบ้างที่พวกเขารับไม่ได้ เมื่อพบแล้วก็ควรรีบแก้ไข ลดทิฐิลงบ้าง พยายามพิสูจน์ตัวเองว่าคุณไม่ใช่คนเลวร้ายในแบบที่พวกเขาคิด เป็นสิ่งที่ทำได้ยากในวิถีชีวิตแบบไทยๆ ต้องใช้เวลา ความอดทน ความเข้าใจ และกำลังใจจากคนรัก ปัญหาเช่นนี้ คนที่น่าเห็นใจที่สุดก็คือ คนกลางหรือคู่ชีวิตของคุณนั่นเอง (หากเขายืนอยู่ข้างคุณ และคุณเองก็ต้องเป็นคนที่ควรจะถูกยืนเคียงข้างด้วย) หน้าที่ของคุณคือ ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่คนรักโดยปราศจากอคติใดๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเช่นเดียวกัน  
                
            ดูช้างให้ดูหาง ดูนางให้ดูแม่ จะให้แน่ต้องดูถึงยาย ยังคงเป็นสุภาษิตสอนการเลือกคู่ครองได้เป็นอย่างดี  แต่ดูเหมือนว่า ฝ่ายชายเท่านั้นที่มีสิทธิเป็นฝ่ายเลือก ดังนั้น
                           
             ดูช้างให้ดูหาง ดูนายและนาง ให้ดูทั้งพ่อและแม่ จะให้แน่ต้องดูถึง ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติพี่น้อง
              น่าจะฟังดูยุติธรรมกว่านะครับ
 (รายละเอียดที่เหลือดูเพิ่มในบท ความเข้ากันได้ของคู่รัก”)
    
  2.  รักผิดเวลา
             เรื่องน่าเศร้าเกี่ยวกับความรักในวัยรุ่นที่เป็นข่าวอยู่เสมอๆก็คือ การฆ่าตัวตาย เพราะความผิดหวังในรัก นำความโศกเศร้ามาสู่พ่อแม่และเครือญาติ  รักในวัยเรียน คนส่วนใหญ่ สามารถเข้าใจได้ว่า เป็นเรื่องธรรมชาติ เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศและความอยากรู้อยากทดลอง ไม่ต่างอะไรกับยาเสพติด เพราะปัญหาทั้งสองนี้ มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ มันเป็นสิ่งเสพติด เกิดความเปลี่ยนแปลงของสารเคมีกลุ่มเดียวกันในสมอง ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบกระบวนการ  เหลือเชื่อใช่ไหมครับ (หากคุณยังไม่ได้อ่านบทที่ว่าด้วยสารเคมีและฮอร์โมนแห่งรักเพราะกระโดดข้ามมาอ่านบทนี้ก่อน ขอให้ย้อนกลับไปอ่านบทนั้นดูนะครับ คุณจะค้นพบความมหัศจรรย์แห่งกลไกการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์รักในแบบที่คุณคาดไม่ถึงมาก่อน)
             กรณีของรักผิดเวลาอื่นๆ เช่น รักในยามยาก ขัดสนเงินทอง ไม่มีงานทำ ตกงาน ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เรือรักไปไม่ถึงฝั่ง ถึงแม้จะรักกันเพียงใดก็ตาม ความยุ่งยากเริ่มเกิดตั้งแต่ค่าใช่จ่ายระหว่างการเกี้ยวพาราสีและการสร้างสัมพันธภาพเบื้องต้น ค่าสินสอดทองมั่น หากบังเอิญว่ามีหนุ่มใหญ่เงินหนาเข้ามาในชีวิตที่กำลังขัดสนของหญิงสาว (ซึ่งมักมีความรักในแบบ Pragmatic love - ดูบท ประเภทของความรักประกอบ) ร่วมกับแรงกดดันจากบุพการี ก็อาจทำให้ฝายหญิงเปลี่ยนใจ ฝ่ายชายด้อยฐานะจึงกลายเป็นคนอกหักเพราะรักผิดเวลา หรืออาจรักผิดคนด้วยก็ได้

  3.  รักผิดกติกา
             เช่น รักคนที่มีเจ้าของ  รักคนอื่นตอนที่คุณมีเจ้าของ รักโลเลหรือรักโลภมาก คือรักตั้งแต่สองคนขึ้นไป รักพี่เสียดายน้องแถมยังอยากได้แฟนเพื่อนอีกคน ทำตัวเป็นคาสซาโนว่ากลับชาติมาเกิด กรณีนี้มีปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยๆเช่นกัน และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆของคนไทยเสียด้วย คือ พิศวาสฆาตกรรม

  4.  รักแบบหลง
             รักแบบไม่ลืมหูลืมตาเพราะไปหลงในเพศรส (ลีลาอันเร่าร้อนทางเพศ)  รักความสวย ความหล่อ ความงามแห่งเรือนร่าง โดยไม่มีปัจจัยหลักอื่นๆที่สำคัญกว่ารองรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาการหลงขั้นเสพติดในเพศรสนั้น ดูจะมีความรุนแรงกว่าเรื่องอื่น และทำให้เสียผู้เสียคนกันมานักต่อนัก ในรายที่ไปเป็นชู้ภรรยาเขาก็ต้องจบชีวิตลงดังที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เนืองๆ อีกทั้งยัง ได้รับการประณามหยามเหยียดจากสังคมอีกด้วย

   5.  รักผิดเพศ
              เช่น หญิงรักชายประเภท เสือใบ (Bisexual) แล้วมารู้ความจริงภายหลัง ทำให้ผิดหวังอย่างรุนแรง ส่วนใหญ่ไม่สามารถยอมรับความจริงได้ จำต้องแยกทางกันไป หรือหากต้องอยู่ด้วยกันเพื่อลูก ก็ไม่สามารถกลับไปมีความสัมพันธ์ในแบบเดิมได้อีก งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้หญิงจะรู้สึกหึงหวงสามีที่ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายมากกว่าไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง แต่ไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนในเรื่องนี้ คงต้องให้นักวิชาการเขาหาคำตอบกันต่อไป

    6.  รักเพราะความเชื่อและทัศนคติผิดๆเกี่ยวกับความรัก
               เช่น รักเพราะคิดว่า ตนเองสามารถจะเปลี่ยนนิสัยคนรักได้ เช่น เลิกดื่มเหล้า เลิกเที่ยวกลางคืน เลิกเจ้าชู้ เลิกเล่นการพนัน เลิกจู้จี้ขี้บ่น  จิตวิทยาพัฒนาการทางบุคลิกภาพ สรุปไว้ว่า บุคลิกภาพของคนเราจะมีการพัฒนาตั้งแต่เกิดจนถึงจุดคงที่ในช่วงอายุวัยรุ่นตอนปลาย คือประมาณ 18-20 ปี หากจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกก็ต้องมีเหตุจูงใจอย่างมาก เช่น เลิกดื่มเหล้าหลังจากขับรถประสบอุบัติเหตุจนลูกเมียเสียชีวิตเนื่องจากตัวเองเมาแล้วขับ, เลิกเจ้าชู้เนื่องจากลูกสาวสุดที่รักอกหักเพราะได้แฟนหลายใจ แล้วเกิดสำนึกในเรื่องกฎแห่งกรรมขึ้นมา แต่ก็ไม่เสมอไป ขึ้นกับระดับศีลธรรมและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของแต่ละบุคคล
              ที่พบบ่อยอีกอย่างหนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชาย คือ รักเพราะเชื่อว่า คุณลักษณะต่างๆที่ดีของเธอจะมีค่าคงที่ เช่น ความสาว ความสวย ความงามแห่งเรือนร่าง ความน่ารักไร้เดียงสา พูดจาน่าฟัง ไพเราะอ่อนหวาน นิสัยเอาอกเอาใจ จนลืมกฎแห่ง อนิจจัง คือความไม่เที่ยงแท้ของสังขารและจิตใจ

   7.  ขาดองค์ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับความรัก
              เริ่มจากตัวเองก่อน คือ ต้องรู้จักบุคลิกภาพของคุณเองว่าเป็นคนอย่างไร และคนแบบไหนจึงจะเหมาะกับคุณ ความรู้ในหัวข้อ บุคลิกภาพกับความรัก คงพอเป็นแนวทางในการเลือกคู่รักที่เหมาะสมสำหรับคุณได้บ้าง แต่ควรพิจารณาความเหมาะสมด้านอื่นๆร่วมด้วย ยิ่งมีความเข้ากันได้มากเพียงไร ความเสี่ยงต่อการเลือกคนผิดก็จะลดลงมากเท่านั้น ความยากลำบากก็คือ คนเหล่านั้นมักถูกเลือกไปก่อนแล้ว ทุกๆคนจึงควรสร้างมูลค่าเพิ่มให้ตัวเองด้วยการพัฒนาคุณสมบัติต่างๆอันเป็นที่ปรารถนาของเพศตรงข้าม  อย่าทำตัวเป็นฝ่ายเลือกเท่านั้น ต้องทำตัวให้น่าถูกเลือกด้วย
            บังเอิญว่าวันนี้ (29 .. 55) ผมได้อ่านข่าวเล็กๆเกี่ยวกับความคิดเห็นของผู้ชายที่มีต่อผู้หญิง ข้อความว่า

หนุ่มเมืองน้ำชา (เข้าใจว่าน่าจะหมายถึงประเทศจีน) ระบุข้อเสียของผู้หญิงสมัยนี้ว่า
1.  เจ้าอารมณ์  2. ไม่ชอบเล่นกีฬา  3. จู้จี้จุกจิกเรื่องความสะอาดมากเกินไป
และยังบอกต่อไปอีกว่า นิสัยที่สามีรู้สึกขัดใจภรรยามักจะเป็นเรื่อง
        1. การพูดบ่น วิจารณ์การขับรถของสามี  2. ติดดูละครน้ำเน่าอย่างงอมแงม  3. ใช้เวลาแต่งตัวนานเกินไป

             เมื่อคุณรู้ภาคทฤษฎีแล้ว ที่เหลือเป็นภาคปฏิบัติ ซึ่งต้องใช้ความอดทนและความ สม่ำเสมอ  จะทำได้ดีเพียงไรขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง โดยต้องเป็นคนช่างสังเกตและจดจำ หาข้อบกพร่องของตัวเองไม่น้อยกว่าของอีกฝ่าย 

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อกหัก.........ช่วยด้วย (2)


คำพูดทั้งหมด แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆตามลักษณะความคิดและความรู้สึก ดังนี้

กลุ่มที่ 1  ความคิด ได้แก่คำว่า ไม่ยุติธรรม-ทำได้ไง-ไม่รักดี- เสียศักดิ์ศรี- เห็นแก่ตัว ฯลฯ
กลุ่มที่อารมณ์   ได้แก่คำว่า น้อยใจ-แค้น-เซ็ง-เบื่อ-เหงา-เศร้า-หดหู่ ฯลฯ

            ทั้งสองกลุ่มนี้เป็นเหตุและผลกัน เพราะ ความคิดทำให้เกิดอามรณ์ เมื่อความคิดไม่ดี อารมณ์ย่อมไม่ดีไปด้วย ดังนั้น หากจะให้อารมณ์หรือความรู้สึกดีก็ต้องคิดดี ปัญหาอยู่ตรงที่ว่า ภายใต้ความกดดันเช่นนี้เราจะคิดดีได้อย่างไร  คุณคงสงสัยว่า จะมีใครบ้างไหมที่ไม่เสียใจเวลาอกหัก แน่นอนครับไม่มีหรอก แต่คุณสงสัยไหมว่า ทำไมคนอกหักแต่ละคนจึงเสียใจไม่เท่ากัน ส่วนหนึ่งฆ่าตัวตาย บางคนก็ฆ่าคนรักตายไปด้วย ขณะที่อีกหลายคนเลือกมีชีวิตอยู่ และหาทางแก้ไขปัญหาได้อย่างเหมาะสม ซึ่งกลุ่มหลังนี้มีจำนวนมากกว่าหลายร้อยหลายพันเท่า คุณก็อาจโต้แย้งได้อีกว่า ปัญหาของแต่ละคนมีความรุนแรงไม่เท่ากัน ดังนั้นแล้วประเด็นนี้หากจะโต้เถียงกันเช่นนี้คงไม่จบ แต่สิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ก็คือ ปัญหาของใครย่อมจะหนักหนาสาหัสสำหรับคนๆนั้นในห้วงเวลาเช่นนั้น

            สิ่งที่น่าคิดก็คือ อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ความรุนแรงของปัญหาแตกต่างกัน  ผมจะลองยกตัวอย่างให้พิจารณากันดูนะครับ

1.   ระดับความลึกซึ้งของความสัมพันธ์ เช่น มีเพศสัมพันธ์กันแล้ว, คบหาหรืออยู่ด้วยกันมานานจนรู้สึกผูกพันอย่างมาก
2.    ความวิตกกังวล ถึงผลกระทบต่างๆ เช่น ลูก, ภาระทางการเงิน, อายุมากกลัวจะหาแฟนใหม่ไม่ได้, กลัวการอยู่คนเดียว, รู้สึกอับอาย เสียหน้า
3.   บุคลิกภาพ ซึ่งหมายถึง วิธีคิดและลักษณะทางอารมณ์ที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมประจำตัวของแต่ละบุคคล
4.   ปัจจัยค้ำจุน ที่ช่วยเหลือด้านกำลังใจ เช่น ความมั่นคงทางการเงินหรือหน้าที่การงาน, กำลังใจจากญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง, การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์

            ปัจจัยดังกล่าวเหล่านี้ ผมให้น้ำหนักที่ บุคลิกภาพ มากที่สุด เพราะเป็นตัวกำหนดวิธีคิดและการใช้เหตุผลของคนเรา อันมีรากฐานมาจากความเชื่อและทัศนคติดั้งเดิม ดังนั้น รากเหง้าของปัญหาทั้งปวงจึงเกิดจากความแตกต่างทางความเชื่อและทัศนคติ ไม่เว้นแม้แต่ ความรัก หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป จะไม่มีใครสามารถแก้ปัญหานี้ได้เลย สมมุติฐานของผมคือ หากสามารถทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมมี ความรู้ที่ถูกต้อง ก็จะทำให้เกิด ความเข้าใจที่ถูกต้อง เกิด ปัญญา มากขึ้นทีละน้อย หลังจากนั้น ค่านิยมผิดๆ ก็จะได้รับการแก้ไขในระดับปัจเจกบุคคล เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งจะเกิด การเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรม ของผู้คนในวงกว้าง กลายเป็น ความเชื่อและค่านิยมใหม่ ที่ดีกว่าเดิมในที่สุด

            และด้วยความเชื่อเช่นนี้ของผม จึงทำให้เกิด blog นี้ขึ้นมา

            จากกลุ่มคำต่างๆ 2 กลุ่มข้างต้น ผมจะขอนำเอาบางคำที่ได้ยินบ่อยๆมาวิเคราะห์ให้ฟัง เพื่อให้เกิดมุมมองใหม่ๆที่อาจทำให้ท่านเห็นทางออก หรืออย่างน้อยที่สุดก็พอจะช่วยให้ท่านรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้างในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้

กลุ่มที่ 1 ความคิด ไม่ยุติธรรม-ทำได้ไง -ไม่รักดี- เสียศักดิ์ศรี- เห็นแก่ตัว ฯลฯ
            แต่ละคำมีความหมายไปทางเดียวกัน เป็นความคิดต่อคนรักที่แฝงด้วยความรู้สึกไม่พอใจ โกรธ แค้น เหตุเพราะ รู้สึกว่าตนเองถูกเอาเปรียบ จึงเกิดความไม่พอใจ และต้องการทวงความยุติธรรมคืนมาด้วยวิธีการต่างๆ ตั้งแต่การตำหนิ ตัดพ้อ พูดจาเสียดสี ด่าทอ ทำร้ายร่างกาย จนถึงขั้นฆ่าทิ้ง การกระทำเช่นนี้เป็นการปลดปล่อยความอึดอัดกดดันต่างๆ หากไม่สามารถปลดปล่อยมันออกมา พลังกดดันนั้นจะวกกลับมาทำร้ายตัวเอง ทำให้เกิดความหดหู่ เศร้าหมอง สิ้นหวัง เมื่อรู้สึกว่าถึงทางตันก็อาจจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมทั้งสิ้น
            
                                             มีทางออกที่ดีกว่านี้ไหม ?
            
            มีแน่นอนครับ ด้วยการแก้ที่ ความคิด ของคุณก่อน เพราะทุกอย่างเกิดจากความคิด เริ่มจากการพิจารณาเหตุผลที่คุณใช้มาเรื่อยๆตั้งแต่เกิดเรื่อง อย่าเพิ่งตัดสินคนรักของคุณ จากพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่างๆของเขาหรือเธอ สิ่งแรกที่คุณควรทำคือ ตั้งสติให้มั่น พูดง่ายทำยากครับ แต่ต้องทำให้ได้ มิฉะนั้นคุณจะหาทางออกไม่เจอ และอาจต้องเสียเวลาวนเวียนอยู่กับการแก้ปัญหาไปอีกนาน เมื่อคุณตั้งสติได้ระดับหนึ่งแล้ว (สังเกตจากความคิดฟุ้งซ่านและอารมณ์โกรธที่พอจะควบคุมได้) ก็ให้เริ่มปฏิบัติตาม ข้อแนะนำ ต่อไปนี้ดูนะครับ

1.   ต้องไม่ไปคิดถึงกิ๊กหรือชู้ของแฟนคุณให้เจ็บช้ำใจ แต่มุ่งไปที่คนรักของคุณคนเดียว บอกตัวคุณเองว่า เรื่องนี้เกิดจากตัวเขาเท่านั้น

2.   ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องราวที่แท้จริงเป็นอย่างไร โดยคุณต้องควบคุมอารมณ์ให้ได้ทั้งก่อน ขณะ และหลังจากที่เขาพูดความจริงให้ฟัง ขั้นตอนนี้ยากที่สุดครับ เพราะระหว่างที่เขากำลังพูด คุณอาจมีอารมณ์โกรธขึ้นได้ตลอดเวลา ต้องคอยเตือนสติตัวเองเป็นช่วงๆ บอกกับตัวเองว่า เป้าหมายของการซักถามคือต้องการรู้ความจริง ไม่ใช่ความโกรธหรือการทะเลาะวิวาท เพราะถ้าไม่รู้ความจริง คุณย่อมตัดสินใจลำบากว่าจะทำอย่างไรต่อไป หากคุณสามารถผ่านด่านนี้ไปได้ด้วยการรับฟังเรื่องราวต่างๆอย่างสงบสุขุมเยือกเย็นจนหมดข้อสงสัย ทั้งคุณและเขาก็น่าจะหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกันได้

3.    ถามต่อไปว่า เขาจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไร บอกกับตัวคุณเองตลอดเวลาว่า เขาเป็นคนสร้างปัญหา เขาก็ต้องเป็นคนแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ไม่ใช่คุณ สิ่งที่เขาจะพูดให้คุณฟังมีได้หลายลักษณะ  ผมขอยกตัวอย่างคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆ ดังนี้
3.1    ไม่ได้มีอะไรกัน เป็นแค่เพื่อน
3.2    ไม่ได้รัก แต่เขาให้ก็เอา ไม่เห็นเสียหายตรงไหน
3.3    กำลังจะเลิกอยู่พอดี ขอเวลาหน่อย
3.4    รักทั้งสองคน อยู่กันไปอย่างนี้แหละ มีปัญญาเลี้ยงก็แล้วกัน
3.5    อย่างยุ่งเรื่องส่วนตัว
3.6    ฉันต้องการเลิกกับเธอ อยู่ด้วยกันต่อไปก็ไม่มีความสุข
            
             อาจจะมีเหตุผลหรือข้ออ้างอีกมากมาย แต่ความหมายมักไม่ต่างกัน ถึงตรงนี้ก็อยู่ที่คุณว่าจะเลือกตัดสินใจอย่างไร แน่นอนว่าแต่ละคนจะมีเหตุผลต่างกันไปตามเหตุปัจจัยที่ไม่เหมือนกัน เรื่องนี้ไม่มีสูตรสำเร็จ ประการสำคัญคือ ต้องมีการเจรจาต่อรองและตกลงกันให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเลือกอยู่ด้วยกันต่อไปหรือแยกทางกัน ไม่ควรตัดสินใจด้วยอารมณ์หรือเลือกวิธีผิดๆ เช่น ทำร้ายร่างกายกัน หรือถึงกับฆ่าแกงกัน ขอให้คิดเสียว่า ความผิดหวังเรื่องความรักเป็นเพียงอุบัติเหตุทางใจ ย่อมเกิดบาดแผลและความเจ็บปวดในช่วงแรก สิ่งที่คุณต้องทำคือ พยายามรักษาแผลใจให้หายเร็วที่สุด ไม่ใช่ขยายแผลให้ใหญ่ขึ้นจนยากจะเยียวยา คำกล่าวที่ว่า เวลารักษาแผลใจอาจช่วยคุณได้บ้างในยามนี้ นึกถึงมันทุกครั้งที่คุณรู้สึกท้อแท้หรือสิ้นหวัง

กลุ่มที่ 2 อารมณ์น้อยใจ, แค้น, เซ็ง, เบื่อ, เหงา, หดหู่, เศร้า
             อารมณ์เกิดจากความคิด ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่คุณยังไม่สามารถแก้ความคิดของตัวเองได้ อารมณ์เหล่านี้จะยังวนเวียนอยู่ในใจคุณตลอด เมื่อเกิดอารมณ์ก็ตามมาด้วยพฤติกรรม การปรับแก้วิธีคิดจึงเป็นหนทางเดียวที่จะพาตัวคุณออกจากวิกฤติทางอารมณ์ได้ เรื่องนี้ไม่มีใครช่วยคุณได้นอกจากตัวคุณเอง ไม่ควรไปเชื่อคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง เช่น ให้แก้แค้นอย่างสาสม หรือยึดถือคติ ค่านิยมผิดๆ เช่น เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร, ลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ เห็นๆกันอยู่ว่า ตายกันไปมากเท่าไหร่แล้ว บางทีการยอมเสียผัวแต่ทองยังอยู่อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า