ความรักไม่ใช่ตัวปัญหา
แต่เป็นความเข้าใจ และ การปฏิบัติต่อคนรัก
ผู้เขียน
สำหรับคนที่เป็นแฟนกันอยู่ในเวลานี้
เขาหรือเธอพูดประโยคแรกกับคุณว่า
………………………………………………………
สำหรับคนที่แต่งงานแล้ว
โอวาทที่คุณประทับใจในคืนวันแต่งงานคือ
…………………………………………………........
หลายคนยังจำได้ดี
แต่เชื่อว่ามีอีกไม่น้อยจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผู้ใหญ่ที่กล่าวให้โอวาทคือใคร
สิ่งเหล่านี้อาจไม่ใช่สาระสำคัญอะไรเลยหากคุณยังมีความสุขกับชีวิตรัก ที่น่าสนใจกว่าคือ คุณทำอย่างไรความรักจึงได้ยืนยาวมาจนถึงวันนี้
ผมเชื่อเหลือเกินว่า คุณทั้งสองต้องผ่านปัญหาอุปสรรคต่างๆมาพอสมควร ยิ่งปัญหามากแต่ช่วยกันฟันฝ่ามาได้ก็ยิ่งรักกันมาก
เพราะ
" ปัญหาคือบททดสอบรักแท้ "
ผมเคยพบคู่รักจำนวนหนึ่งที่ใช้เวลาดูใจกันนานเกินระยะโรแมนติค
จนเกิดความเฉื่อยชาที่จะแต่งงานกัน รอจนได้เรื่อง คือมีคนอื่นเข้ามาแทน ทั้งๆที่คบหากันมากว่าสิบปี เมื่อผมถามว่า รออะไรกันอยู่หรือ ? คำตอบคือ “ความพร้อม” ซึ่งหมายถึง ฐานะทางการเงินที่มั่นคง มีบ้าน
มีรถกันคนละคัน และอื่นๆอีกมากมาย มัวห่วงนั่นกังวลนี่ มีเท่าไรก็ไม่รู้สึกพอ
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ต่างก็ลืมไปว่า
“ความสุขของชีวิตหาได้อยู่ที่จุดหมายปลายทางไม่
หากแต่อยู่บนทุกย่างก้าวที่เดินไป”
ถ้ารอความพร้อมก็จะไม่มีวันพร้อมสักที
แล้วชีวิตจะมีอะไรน่าตื่นเต้นน่าจดจำพอจะนำไปเล่าให้ลูกหลานฟังล่ะครับ
จงอย่ากลัวที่จะสร้างตำนานรักให้ตัวท่านเองอยู่เลย ทุกคนล้วนมีเรื่องราวของตัวเองทั้งนั้น
จะขลุกขลักล้มลุกคลุกคลานหรือราบรื่นจนจืดชืดอย่างไรมันก็เรื่องของเรา
สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นเรื่องที่รู้ๆกันอยู่
แต่ทำกันไม่ค่อยจะได้ และเป็นสาเหตุที่ทำให้คู่รักจำนวนไม่น้อยไปไม่ถึงจุดหมาย บางคนอ่านหนังสือเกี่ยวกับความรัก
อกหัก มามากมาย แต่ยังคงมีปัญหาทุกครั้งที่มีรัก ไม่ต่างอะไรกับคนที่ชอบคุยโม้โอ้อวดว่า
อ่านหนังสือธรรมะมามากมาย แต่ยังคงดำเนินชีวิตด้วยความเห็นแก่ตัว
เอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์อยู่ทุกวัน ใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยโดยไม่รู้จักคำว่า
“แบ่งปัน”
จึงขอนำมาให้ทบทวนกันอีกสักครั้ง คู่รักใดที่สามารถปฏิบัติได้ตามปัจจัยต่างๆต่อไปนี้ด้วยความสม่ำเสมอ
ก็จะมีแต่ความสุขและสมหวังในชีวิตคู่ “ทุกวัน”อย่างแน่นอน
แต่ก่อนจะถึงหัวข้อ “ปัจจัยแห่งความสำเร็จในชีวิตคู่” ขออ้างถึงทัศนะของ Erich Fromm นักจิตวิเคราะห์ชาวเยอรมัน
ผู้โดดเด่นคนหนึ่งในยุคของเขา ซึ่งได้กล่าวไว้ในหนังสือชื่อ “The Art of Loving” ว่า
“ความพยายามส่วนใหญ่ที่ทุ่มเทให้กับความรักจะล้มเหลว
จนกว่าบุคคลผู้นั้นมีความพยายามอย่างจริงจังในการพัฒนาศักยภาพและบุคลิกภาพของเขาเอง”
จะเห็นได้ว่า เขาเน้นในเรื่อง บุคลิกภาพ อย่างชัดเจน
ทั้งนี้เพราะความรักมีองค์ประกอบมากมาย
อีกทั้งยังมีการพัฒนาตัวมันเองอยู่ตลอดเวลา เราจึงควรให้ความสำคัญในเรื่อง
การพัฒนาตัวเราเองมากกว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงคนรักให้เป็นแบบที่เราต้องการ
แต่การที่จะพัฒนาตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะเรามีความเคยชินติดตัวมา ครั้นเมื่อต้องมาใช้ชีวิตร่วมกับคนแปลกหน้าที่กลายมาเป็นคนรัก
ซึ่งต่างก็มีความเคยชินของตัวเอง หากมีความแตกต่างกันมากในเรื่องสำคัญๆ (อ่านเพิ่มเติมในบท “ความเข้ากันได้ของคู่รัก”) โอกาสที่จะเกิดความอึดอัดและไม่พอใจกันก็มีมากขึ้น
ความจริงที่เราทราบกันดีคือ คนจำนวนไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
มีฐานะดี แต่ล้มเหลวในเรื่องความรัก คุณเองก็คงเคยพบเห็นครอบครัวของคนรู้จักที่หย่าร้างกัน
ทั้งๆที่ดูภายนอกแล้วพวกเขามีความสุขและพร้อมทุกอย่าง เกิดอะไรขึ้นในชีวิตของพวกเขาหรือ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น