ทำไมคนเราจึงรักกัน
เป็นคำถามที่ฟังดูแปลกๆและอาจกวนใจบางคน
แต่ผมคิดว่าตอบไม่ง่ายอย่างที่คนทั่วไปคิดหรอกครับ ไม่เชื่อคุณลองถามเพื่อนๆดู
แต่ขอให้เป็นเพื่อนสนิทสักหน่อยเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง แล้วคุณจะพบความจริงที่น่าตื่นเต้นว่า
คำตอบทำไมจึงได้มากมายเหลือเกิน ทั้งตื้นเขินและล้ำลึกสุดประมาณ หรือยียวนจนไม่อยากถามต่อ
คำถามทำนองนี้มีอีกมากมาย เช่น ความยุติธรรม ความดี ความชั่ว ความถูกต้อง
ศีลธรรมอันดีงาม คืออะไร เพราะเราจะพบว่า เรื่องราวเดียวกัน หากเกิดต่างเวลากัน
ความหมายย่อมต่างกันไป
แม้แต่เกิดในยุคเดียวกันแต่ต่างถิ่นต่างวัฒนธรรมก็ให้ผลต่างกันชนิดขาวเป็นดำได้ ผมจะไม่ยกตัวอย่างในที่นี้
เพราะบางเรื่องมีความเปราะบาง หมิ่นเหม่และอาจกระทบต่อความรู้สึกของคนบางส่วนในสังคม
ผมเชื่อมั่นในภูมิปัญญาของผู้อ่านทุกท่านว่าสามารถคิดถึงเรื่องราวต่างๆในสังคมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ทั้งในและต่างประเทศได้ไม่ยากจนเกินไป เพียงคิดในใจให้เกิดปัญญา
ไม่พูดให้ร้ายใครก็นับว่าเป็นคุณต่อตัวเองระดับหนึ่งแล้ว
กลับมาพูดถึงเรื่องความรักกันต่อดีกว่า
เมื่อคนสองคนมาพบกัน เกิดรักใคร่ชอบพอกันจนสุดท้ายตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
ความต้องการของคู่รักโดยทั่วไปคงคล้ายๆกัน คือ เพื่อสร้างอนาคตร่วมกัน
มีลูกด้วยกัน เป็นเพื่อนคลายเหงา เพื่อสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างสม่ำเสมอ
เพื่อดูแลช่วยเหลือกันยามแก่เฒ่า แต่ไม่ว่าจะมีเหตุผลใด
สิ่งที่อยู่ลึกลงไปในระดับจิตไร้สำนึกก็คือ เพื่อเติมเต็มให้ชีวิต
บางคนอาจคิดว่า ตนเองสามารถอยู่คนเดียวได้โดยไม่ต้องการคนรัก
และอาจมีความสุขได้ไม่แพ้กันหรือมากกว่า
ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าก็คือ
เรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังความคิดความต้องการเช่นนั้น
หากชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นมีพัฒนาการมาอย่างถูกต้องตั้งแต่วัยเด็กเล็กจนถึงวัยที่พวกเขาเริ่มรักเป็น
ถ้าไม่ใช่เพราะมีประสบการณ์รักไม่สมหวังมาก่อนซึ่งได้ทิ้งบาดแผลทางใจรุนแรงเอาไว้ ก็ยังเหลือเหตุผลที่เข้าใจได้อีกพอสมควรสำหรับการเลือกอยู่คนเดียว
เช่น การมีภาระทางครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบอย่างมากจนไม่มีเวลาหรืออารมณ์ที่จะรักใคร
บางคนอาจสนุกกับงานหรือการศึกษาเล่าเรียนจนลืมเรื่องรัก
กว่าจะรู้สึกเหงาอยากมีคู่ก็อายุมากแล้ว โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องการมีคู่รักเพียงเป็นเพื่อนคู่ชีวิตในยามสูงวัย
ก็จำเป็นต้องลดความต้องการที่จะมีลูกลงไป บางรายเรียนจบแล้วมุ่งมั่นทำแต่งานเพื่อสร้างฐานะ
ครั้นพอคิดว่ารวยแล้วอยากมีคู่ ก็กลัวว่าคนที่จะมาเป็นคู่เขารักตัวหรือรักเงิน
ถือเป็นทุกข์ลาภแบบหนึ่ง บ้างก็เป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง
ต้องการอิสรเสรีอย่างเต็มที่ในการดำเนินชีวิต ไม่ต้องการรับผิดชอบชีวิตใครอีก
ไม่ต้องการให้ใครมาวุ่นวาย สูงที่สุดคือ ต้องการนิพาน ไม่อยากเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป
เมื่อพิจารณาคำว่า เติมเต็มให้ชีวิต
ให้ถ่องแท้ จะพบความจริงอย่างหนึ่งคือ คนโดยทั่วไปต่างรู้สึกว่า
การอยู่คนเดียวชีวิตมันไม่เต็ม มีอะไรบางอย่างขาดหายไป สิ่งนั้นคืออะไร
แล้วหายไปอยู่ไหน มันอาจไปอยู่ที่อีกคนหนึ่ง
จึงเกิดแรงผลักดันให้ตามหาบุคคลผู้สูญหายคนนั้น
เมื่อได้มาพบกันแล้วต่างฝ่ายต่างรู้สึกตรงกันว่า “ คนนี้ใช่เลย ” ก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการศึกษาเรียนรู้ซึ่งกันและกันเพิ่มอีกสักหน่อยเพื่อความมั่นใจ มีการเติมเต็มส่วนขาดให้แก่กันระยะหนึ่งจนเกิดความรู้สึกต้องพึ่งพากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
หากการพึ่งพากันนั้นเป็นไปอย่างถูกต้องเหมาะสม ความรักจะพัฒนาต่อไปได้อย่างมั่นคง ดังนั้นแล้ว การเติมเต็มให้ชีวิต ก็คือ ความต้องการพึ่งพาซึ่งกันและกัน อันถือเป็นสาระสำคัญของการใช้ชีวิตคู่ นั่นเอง
คำถามคือ
การพึ่งพาอย่างถูกต้องเหมาะสมนั้น เป็นอย่างไร
Brenda Schaeffer นักจิตวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านการเสพติด
และเป็นผู้ที่คร่ำหวอดอยู่กับงานครอบครัวบำบัด ได้แบ่ง การพึ่งพา ออกเป็น 2
แบบใหญ่ๆ คือ
1. การพึ่งพาอย่างถูกต้องเหมาะสม
หมายถึง
การพึ่งพาที่คนทั้งสองมีให้กันแบบทั้งเป็นผู้ให้และผู้รับ ด้วยสัดส่วนที่เหมาะสม
เกิดความพึงพอใจด้วยกันทั้งคู่ คำว่าสัดส่วนนั้นไม่ได้หมายถึงปริมาณที่สามารถวัดได้เป็นรูปธรรม
แต่เป็นไปอย่างลงตัวตามความสามารถและเกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับชีวิตคู่ เช่น
ถึงแม้สามีจะเป็นฝ่ายหารายได้เพียงผู้เดียวก็ตาม แต่ภรรยาก็เป็นแม่บ้านเต็มเวลา
ทำหน้าที่ดูแลงานบ้านทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่นอกเหนือจาก การเลี้ยงลูก
คนทั้งสองจึงมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ที่สำคัญคือ
ต่างพึงพอใจในบทบาทของตนเองและคู่รักโดยไม่คิดว่าใครสำคัญกว่าใคร
2. การพึ่งพาอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสม
หมายถึง
การพึ่งพาที่คนทั้งสองมีให้ต่อกันในลักษณะที่คนหนึ่งเป็นฝ่ายให้มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง
เกิดจากความคิดและทัศนคติผิดๆ เช่น ฝ่ายชายคิดว่าตนเองมีความสำคัญกว่า เก่งกว่า
อยู่เหนือกว่า เพราะหาเงินฝ่ายเดียวหรือหาได้มากกว่า
มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูงกว่า ชาติตระกูลสูงกว่า
หรือเพียงเพราะว่าเป็นเพศชายต้องเป็นช้างเท้าหน้าและเป็นใหญ่ในครอบครัว
ซึ่งเป็นทัศนคติที่ล้าสมัยและสร้างปมขัดแย้งให้สามีภรรยาในยุคปัจจุบันอย่างมาก ส่วนฝ่ายหญิงก็อาจมีทัศนคติผิดๆด้วยเช่นกันคือ
ยอมรับทัศนคติ หรือค่านิยมเก่าๆ ยอมเป็นช้างเท้าหลังในทุกๆเรื่อง ปล่อยให้ฝ่ายชายเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง
ตนเองเป็นเพียงผู้สนองความต้องการของฝ่ายชายทุกๆเรื่อง ทำตัวไม่ต่างจากคุณแจ๋ว
เช่น สามีพูดในลักษณะออกคำสั่งให้ภรรยายกน้ำให้ดื่ม หรือต้องการผลไม้ อาหารว่างทันทีที่กลับถึงบ้าน
หากบริการไม่ทันใจก็จะมีวาจาผรุสวาทมอบให้ บางรายต้องคอยตามเก็บเสื้อผ้าใช้แล้วที่คุณชายโยนทิ้งไม่เป็นที่
รวมทั้งสารพัดความสกปรกในชีวิตประจำวัน กรณีเช่นนี้ ฝ่ายชายได้เปลี่ยนสภาพจากผู้รับไปเป็นผู้ออกคำสั่งหรือ
ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ ในขณะที่ฝ่ายหญิงเปลี่ยนจากผู้ให้ปกติเป็น ผู้รับใช้
ไม่ต่างอะไรกับทาสของฝ่ายชาย ซึ่งถือเป็นบทบาทที่ สุดขั้ว
ของทั้งสองฝ่ายที่ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นคู่รักกันอีกต่อไป
แต่เป็นความสัมพันธ์แบบหัวหน้ากับลูกน้องหรือนายกับบ่าวมากกว่า อย่างไรก็ตาม
หากทั้งสองฝ่ายต่างมีความต้องการตรงกันก็ถือเป็นข้อยกเว้นเป็นรายๆไป
เขาชอบของเขาอย่างนั้นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา
ลักษณะที่พบได้ในคู่รักแบบ ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จ (ซึ่งอาจเป็นฝ่ายหญิงก็ได้ แต่ในสังคมไทยมักเป็นฝ่ายชาย) คือ คิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่าอีกฝ่าย ตัวเองถูกเสมอ โยนความผิดให้ผู้อื่นได้ทุกเรื่อง
โดยเฉพาะคนรัก มีความขี้ระแวงสงสัย โกรธง่าย ไม่อดทน ก้าวร้าว
มักอ้างความชอบธรรมในการทำสิ่งต่างๆที่ตนเองต้องการโดยไม่สนใจว่าจะกระทบต่อความรู้สึกของคนรักและความมั่นคงในครอบครัวหรือไม่
เช่น การใช้ชีวิตกลางคืนกับเพื่อนๆ ดื่มเหล้าเมายาหรือมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่น
ไม่ว่าจะเป็นกิ๊กหรือหญิงบริการ
กลับบ้านดึกๆโดยที่อีกฝ่ายไม่มีสิทธิโกรธหรือไม่พอใจ วันหยุดไปเล่นกีฬากับเพื่อนๆ
แสวงหาความสุขใส่ตัวแต่เพียงฝ่ายเดียว กลไกทางจิตที่ใช้ในชีวิตประจำวันของคนกลุ่มนี้คือ
การโทษผู้อื่น (Projection)
ลักษณะที่พบได้ในคู่รักแบบ ผู้รับใช้
(ซึ่งอาจเป็นฝ่ายชายก็ได้) คือ คิดว่าตนเองต่ำต้อยด้อยกว่าคู่รัก เป็นคนไม่มีความสามารถ ไม่มีอะไรดี
ไม่รู้สึกภาคภูมิใจในตนเอง อารมณ์หงอยเหงาเศร้าสร้อยอยู่เสมอ บางครั้งสับสน
ละอายใจง่ายเวลาทำอะไรผิดพลาด สงสารตัวเอง ช่วยตัวเองไม่ได้
รู้สึกอ่อนเพลียไม่มีเรี่ยวแรงอยู่เสมอๆ
ความตึงเครียดเรื้อรังเช่นนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายในที่สุด อาการเจ็บป่วยที่พบบ่อยๆคือ
โรคกระเพาะ โรคกรดไหลย้อน ลำไส้ใหญ่อักเสบ หอบหืด แม้แต่เบาหวาน
เพราะความอ่อนเพลียและจิตใจเปลี่ยวเหงาไม่มีความสุข
ทำให้ไม่อยากทำอะไรแม้กระทั่งการออกกำลังกาย
เมื่อกลายสภาพเป็นผู้ป่วยเรื้อรังก็จะเกิดการเรียนรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะเรียกร้องความเห็นใจและสนใจจากคนรักได้
ซึ่งจะได้ผลในช่วงสั้นๆ ต่อไปคนรักก็จะเกิดความเบื่อหน่ายและไม่สนใจเช่นเดิม
กลไกทางจิตที่ใช้ในชีวิตประจำวันคือ การปฏิเสธความจริง (Denial)
คู่รักใดที่มีลักษณะเช่นนี้
จะมีแต่ความตึงเครียด ไม่มีความสุข ชีวิตมีแต่ความน่าเบื่อหน่าย เมื่อถึงจุดหนึ่ง
ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะไม่สามารถทนได้อีกต่อไป
อาจเกิดการต่อต้านหรือต่อสู้กันในรูปแบบต่างๆ ที่พบบ่อยคือ การทำร้ายร่างกาย
เว้นเสียแต่ว่า
ทั้งสองฝ่ายต่างเป็นคนเสพติดรักในแบบที่สามารถอยู่ด้วยกันได้เพราะต้องพึ่งพาอาศัยกัน
คือ เป็นคนเสพติดรักแบบพึ่งพาความสัมพันธ์ (Relationship addict) ฝ่ายหนึ่ง กับ แบบหลงรักตัวเอง (Narcissistic love
addict)
อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นแบบที่พบได้บ่อยในสังคมไทย
สรุป
พึงตระหนักไว้เสมอๆว่า ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกที่จะได้รับการเลี้ยงดูอย่างถูกต้องสมบูรณ์แบบตั้งแต่วัยแรกเกิดจนโตโดยหาที่ติไม่ได้
ดังนั้น พฤติกรรมเสพติดรัก คือ การต้องพึ่งพาคนรักในรูปแบบใดแบบหนึ่ง
จึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ในคู่รักปกติทั่วไป เราทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องในเรื่อง
การพึ่งพา ระหว่างคู่รัก และสามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
เพื่อให้ชีวิตคู่สามารถดำเนินไปได้อย่างมีความสุข