เมื่อเกิดปัญหาขึ้นในชีวิตคู่ ฝ่ายชายมักใช้วิธีแก้ไขด้วยเหตุผล เป็นขั้นเป็นตอน
เน้นความรวดเร็ว กล้าเสี่ยง กล้าตัดสินใจ ในขณะที่ฝ่ายหญิงต้องการคำอธิบาย การรับฟังและความเข้าใจในความรู้สึกของเธอจากฝ่ายชาย
ความเป็นจริงที่เราพบเห็นกันในสังคมเวลาเกิดการนอกใจกันก็คือ หากฝ่ายชายนอกใจ
น้อยครั้งที่ฝ่ายหญิงจะขอหย่าขาดจากฝ่ายชาย แต่จะพยายามทำให้ฝ่ายชายเปลี่ยนใจเลิกคบหากับหญิงอื่น
(ไม่ยักกะเรียกว่า หญิงชู้) แล้วกลับมาอยู่ด้วยกันในแบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง
ทุกอย่างทางบ้านให้อภัยหมด ในทางกลับกัน หากฝ่ายหญิงนอกใจ ฝ่ายชายมักใช้วิธีการรุนแรง
เช่น ทำร้ายร่างกาย บ่อยครั้งที่ถึงกับฆ่ากันตาย สังคมกลับซ้ำเติมฝ่ายหญิง โดยใช้คำว่า
มีชู้ ซึ่งมีความหมายในเชิงประณามอย่างเสียหาย ทั้งๆที่เป็นพฤติกรรมเดียวกัน คำอธิบายในเรื่องนี้มีได้หลายทาง
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ค่านิยมการเอารัดเอาเปรียบทางเพศ
ที่สอดแทรกอยู่ในวรรณคดีไทยบางเรื่อง รวมถึงความหย่อนยานของการบังคับใช้กฎหมายที่ไม่สามารถบังคับฝ่ายชายให้รับผิดชอบค่าเลี้ยงดูฝ่ายที่เสียหายได้ในแบบที่ควรจะเป็น
คุณสมบัติของสมองผู้หญิงอีกประการหนึ่งที่สวรรค์ประทานให้ก็คือ
พวกเธอมีสมองส่วนความจำด้านอารมณ์ (Emotional
memory part) ขนาดใหญ่กว่าผู้ชาย
จึงสามารถจดจำรายละเอียดต่างๆในช่วงรักกันใหม่ๆได้มากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คำสัญญาทั้งหมด
ยังครับ ยังไม่หมด
ผลตรวจการทำงานของสมองด้วยเครื่องมือเฉพาะ พบว่า สมองของผู้หญิงมีการทำงานในส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์และความรู้สึกรักใคร่ผูกพันมากกว่าผู้ชาย
ส่วนสมองของผู้ชายมีการทำงานของสมองส่วนซึ่งทำหน้าที่เกี่ยวกับความรู้สึกและการตอบสมองอารมณ์ทางเพศมากกว่าผู้หญิง……………………….เจอแล้วครับ ข้อมูลทางวิชาการที่น่าเชื่อถือสำหรับท่านชาย
การศึกษาหนึ่งของ Ruber
Gur
ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความแตกต่างของสมองสองเพศ พบว่า
ในขณะที่สมองอยู่ในระยะพัก
สมองของผู้ชาย 70 % หยุดทำงาน แต่สมองของผู้หญิง 90
% ยังคงทำงานอยู่ ………………พวกเธอจึงมักต้องการพูดในเวลาที่คุณต้องการพัก
2. ฮอร์โมน
สำหรับทารกเพศชายสามารถตรวจพบฮอร์โมนเพศชายคือ Testosterone ได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เมื่ออายุประมาณ 20 ปี
ระดับฮอร์โมนตัวนี้จะสูงเป็น 20 เท่าของผู้หญิงในวัยเดียวกัน
อย่าลืมว่า ผู้หญิงก็มีฮอร์โมนตัวนี้ด้วย ฮอร์โมนเพศชายนี้มีหน้าที่หลายอย่างนอกจากเป็นตัวกระตุ้นการเจริญเติบโตของอวัยวะเพศและลักษณะของเพศชายต่างๆ
เช่น หนวดเครา กล้ามเนื้อ โครงกระดูกที่มีขนาดใหญ่กว่าเพศหญิง
เสียงใหญ่ห้าว ที่สำคัญคือ
อุปนิสัยประจำเพศ ได้แก่ ความก้าวร้าวรุนแรง มุทะลุดุดัน ชอบใช้กำลัง ชอบโลดโผนผจญภัย
ชอบความตื่นเต้น ความเสี่ยงและท้าทาย ชอบเสียงดังๆ ชอบการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและไม่ชอบอยู่ที่เดียวนานๆ
ผู้ชายจึงไม่ค่อยชอบอยู่บ้าน……………….ได้ข้ออ้างทางวิชาการอีกข้อหนึ่งแล้วครับท่านชาย!
ส่วนฮอร์โมนเพศหญิง นอกจากหน้าที่โดยตรงด้านการกำหนดลักษณะทางกายภาพประจำเพศแล้ว
ไม่มีหลักฐานชัดเจนในเรื่องบทบาททางอารมณ์ การที่เพศหญิงไม่มีนิสัยก้าวร้าวและอื่นๆเหมือนเพศชาย
อาจเกิดจากการมีฮอร์โมนเพศชายในปริมาณที่น้อยกว่ามากๆ ร่วมกับกระบวนการเรียนรู้ผ่านทางการเลี้ยงดูและบทบาทที่สังคมกำหนดให้
ฮอร์โมน Estrogen
ยังมีส่วนช่วยประสานการทำงานของเซลประสาททั้งในสมองซีกเดียวกันและเชื่อมระหว่างสองซีกอีกด้วย
ท่านชายทั้งหลายครับ เรามาพร้อมใจยอมจำนนด้วยหลักฐานทางวิชาการกันดีไหม ผมเองไม่คิดว่าเป็นการเสียศักดิ์ศรีอะไร
เพราะโดยส่วนตัวไม่ชอบคำนี้เอามากๆ
เหตุเพราะหากเราต้องการรักษาศักดิ์ศรีของเราโดยการเอามันมาจากคนอื่น
เราจะเรียกการกระทำนี้ว่า มีศักดิ์ศรี ได้อย่างไร ผมกลับมองเห็นแต่ผลดีที่ว่ามันเป็นการส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีให้แก่คนที่เรารัก
ซึ่งผลดีก็จะย้อนมาหาเราในที่สุดยังไงล่ะครับ
ต่อไปนี้เป็นคำถาม
ที่คุณอยากรู้คำตอบมานานแสนนาน
คำถาม คุณรู้ไหมว่า
เหตุใดผู้หญิงจึงพูดด้วยจำนวนคำที่เยอะกว่าผู้ชายในเวลาเท่ากัน
คำตอบ ก็เพราะเธอฝึกพูดมาตั้งแต่เป็นทารกนะซีครับ นักวิชาการเขาค้นพบว่า ทารกเพศหญิง
ยิ้มและส่งเสียงอ้อแอ้ชวนคุยมากกว่าทารกเพศชาย ไม่นานพวกเธอก็พูดคำแรกได้ก่อน ต่อมาใช้คำศัพท์ได้มากกว่า
โตขึ้นเรียนภาษาก็เก่งกว่า แปลกนิดหน่อยตอนจีบกันทำไมพูดน้อย
……. เลยทำให้ดูน่ารัก แต่พวกเธอไปชดเชยอีกทีอีตอนแต่งงานกันไปแล้ว หลังจากนั้นปริมาณคำพูดก็มักจะเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนโดยตรงกับวัยวุฒิของพวกเธอ………ตรงนี้ยังไม่มีนักวิชาการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง คงเป็นเพราะพวกเราผู้ชายอีกนั่นแหละที่ขยันทำตัวให้น่าบ่น
หากทำตัวเรียบร้อยขึ้นสักหน่อย พวกเธอก็คงจะบ่นน้อยลง
แล้วความน่ารักของเธอก็จะกลับมาให้เราชื่นชมอีกครั้งหนึ่ง ....... เหมือนที่เคยเป็นมาแล้วเมื่อกาลครั้งหนึ่ง
เรื่องราวในบทต่อจากนี้ไปจะมีความเข้มข้นขึ้นทุกขณะ
เพราะจะเริ่มเจาะลึก ทะลุทะลวงกันถึงก้นบึ้งของหัวใจอย่างชนิดไม่เกรงใจกัน แต่ก็ด้วยความปรารถนาดีอย่างจริงใจ
เพราะไม่อยากเห็นความสูญเสียชีวิตอันเนื่องมาจากความผิดหวังในเรื่อง ความรัก ที่เกิดขึ้นซ้ำๆซากๆในสังคมไทยทุกวันนี้อีกต่อไป
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คนส่วนใหญ่ของสังคมมีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้
รวมทั้งต้องมีทัศนคติที่ถูกต้องในเรื่องนี้
และพร้อมใจกันเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมสังคมที่ไม่เหมาะสมไปสู่สังคมที่มีอารยะมากขึ้นในอนาคตอันใกล้
เพื่อชีวิตที่ปลอดภัยและมีความสุขของลูกหลานท่านเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น