How
on earth are you ever going to explain in terms of chemistry and physics so
important a biological phenomenon as love?
Albert Einstein
ความรักเป็นเรื่องของสารเคมี………..แค่นั้นหรือ
คำถามนี้อาจทำให้หลายคนหงุดหงิด
รวมทั้งไอน์สไตน์ด้วย บางคนอาจรับไม่ได้เอาเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความสุข
สมหวังกับความรักหลังจากพากเพียรพยายาม อดทน ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆมาอย่างแสนสาหัส
แต่ไม่เหลือความภาคภูมิใจให้บ้างเลย กลับไปยกความดีความชอบทั้งหมดให้สารเคมีซึ่งไม่มีชีวิตและความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น
สำหรับคนอกหักอาจรู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้างจนแอบชอบใจหัวเราะหึๆ
เพราะสามารถยกความผิดพลาดทั้งหมดให้กับเจ้าสารเคมีพวกนั้นไป
พร้อมรำพันในใจว่า “เป็นเพราะพวกแกแท้ๆที่ไม่ประสานงานกันให้ดี
ข้าถึงได้ชอกช้ำระกำทรวงถึงเพียงนี้”
หากมาทบทวนด้วยการลำดับเหตุการณ์ดูอีกสักครั้งให้ปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องเป็นราว
ก็อาจทำให้หลายคนยอมรับความจริงอันขัดแย้งนี้ได้บ้าง ลองมาดูกันนะครับ
ลำดับเหตุการณ์ของความรักอันสัมพันธ์กับการหลั่งสารเคมี
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ปล่อยให้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
หรือการคลุมถุงชน ความรักก็ต้องเริ่มจากการมองเห็นก่อน
ภาพที่มองเห็นจะถูกส่งผ่านทะลุทะลวงไปหลายด่านอย่างรวดเร็วสู่สมองส่วนแปรผล เมื่อแปรออกมาว่า
หล่อ สวย หุ่นดี มีเสน่ห์ เท่ห์ น่ารัก ดูดีไปหมด สมองก็จะหลั่งสารแห่งความสุขออกมา
ตัวแรกคือ เจ้า PEA นั่นเอง ทำให้เรารู้สึกมีความสุข
พึงพอใจ ชอบใจ แอบรักเล็กๆ เพราะมันคือ love drug
ไงครับ
เสริมด้วยฤทธิ์ของ Endorphin ที่หลั่งรินตามมาติดๆ
ก็ยิ่งทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย
มีชีวิตชีวา อยากเข้าไปทำความรู้จักแบบกล้าๆกลัวๆ
หัวใจเริ่มเต้นเร็วขึ้นแรงขึ้นเพราะความคิดที่จะทำเช่นนั้นมันไปกระตุ้นสมองอีกส่วนหนึ่งให้หลั่งสารออกมาอีกชุดใหญ่คือ
เจ้า Dopamine ทำให้รู้สึกเป็นสุขอย่างมาก ตามด้วย Adrenaline และ Norepinephrine ซึ่งจะไปกระตุ้นหัวใจให้เต้นเร็วขึ้น
แรงขึ้น หายใจถี่ขึ้น
เกิดอาการตื่นเต้น ดูลุกลี้ลุกลน
สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งก็คือ นักวิจัยเขาพบว่า
เพศชายจะมีการตอบสนองต่อตัวกระตุ้นทางกายภาพได้ง่ายกว่าเพศหญิง โดยอ้างว่า
เพศชายมีธรรมชาติของการรับรู้ในเรื่องภาพได้ดีกว่าเพศหญิง จากนั้นก็จะเกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อกันไปเรื่อยๆ
สารตัวต่อไปที่ถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาคือ Serotonin
ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย
ถึงตอนนี้ประตูแห่งความไว้วางใจเริ่มเปิดแย้มออกแล้ว ถ้าคุณเลือกที่จะเดินหน้าด้วยการคบกับคนๆนั้นต่อไป
ปฏิกิริยาทางเคมีก็จะทำหน้าที่ช่วยให้คุณเดินหน้าต่อไปได้ เมื่อคุณทั้งสองคบหากัน ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น
ความคุ้นเคยก็จะเพิ่มมากขึ้น ช่วงนี้สารเคมีที่ถูกกระตุ้นออกมาคือ Oxytocin ซึ่งจะถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมาจากการสัมผัสผิวกาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกอด การจูบ ทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันต่อกันมากยิ่งขึ้นอีก
เมื่อความสัมพันธ์มีความลึกซึ้งจนถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์กัน
แต่ละครั้งที่ถึงจุดสุดยอดทางเพศ (orgasm)
สมองจะหลั่ง
Oxytocin ออกมาในปริมาณมากที่สุด ทำให้เกิดความผูกพันกันอย่างเปี่ยมล้นระคนไปด้วยความสุขและผ่อนคลายสุดๆ
สารเคมีอีกตัวหนึ่งที่หลั่งออกมาขณะถึงจุดสุดยอดคือ Vasopressin โดยเฉพาะในเพศชาย
สารตัวนี้มีความโดดเด่นในเรื่องของการสร้างความทรงจำนอกเหนือจากความรู้สึกผูกพันทางใจ
มันจึงได้รับการยอมรับว่า เป็นสารที่ทำให้มนุษย์เป็นสัตว์ประเภท ผัวเดียวเมียเดียว
(monogamy)
ปฏิกิริยาลูกโซ่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยความเร็วดุจแสง
จากการทำงานประสานกันของเซลนับล้านและเส้นใยประสาทในสมองหลายส่วนกลับไปกลับมาอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าเพียงไร
มนุษย์ก็ยังไม่สามารถเข้าใจกระบวนการที่เกิดขึ้นได้อย่างถ่องแท้ทุกขั้นตอน
เรื่องน่าเศร้าก็คือ
เมื่อปฏิกิริยาของสารเคมีเหล่านี้ดำเนินไปได้ระยะหนึ่ง จากการศึกษาพบว่าอยู่ระหว่าง 18 เดือน ถึง 4 ปี คือต่อจากช่วง Romantic love (6-18 เดือน)
จากนั้นสมองจะเริ่มดื้อต่อสารเคมีดังกล่าว ความตื่นเต้นหวาดเสียว ความน่าท้าทาย
น่าค้นหาเริ่มจืดจางลง ทุกอย่างดูซ้ำซากน่าเบื่อหน่าย เหมือนโลกหยุดหมุน
หากทั้งสองฝ่ายไม่ช่วยกันประคับประคองสถานการณ์
หาจุดหมายใหม่ของชีวิตที่ใหญ่กว่าเดิมมาเติมเต็มแล้วละก็ ชีวิตคู่ของพวกเขาย่อมตกอยู่ในอันตราย
นี่จึงเป็นที่มาของสถิติหย่าร้างสูงสุดในปีที่ 4 ไม่ใช่ปีที่ 7
(seventh year’s itch) อย่างที่เคยเข้าใจกัน
บทต่อไปขอเข้าสู่เรื่องราวที่เข้มข้นขึ้นอีก…………ความเข้ากันได้ !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น