จุดเริ่มต้นของอำนาจ
พฤติกรรมทุกอย่างของมนุษย์เกิดจากแรงจูงใจ
ถ้าจะให้เข้าใจเรื่องของ “อำนาจ” นั้น ต้องย้อนหลังไปในวัยเด็กอายุประมาณ 2-3
ขวบ เด็กวัยนี้จะเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองมีอยู่และเรียนรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
โดยเฉพาะจากคนตัวใหญ่ๆที่อยู่ด้วย เด็กๆเรียนรู้มาระยะหนึ่งแล้วว่า คนตัวใหญ่ๆแต่ใจดีจะคอยหาอะไรมาให้อยู่ตลอดเวลา
ยามหิวหรืออยากมีเพื่อนเล่น ก็เพียงส่งเสียงเรียก
บางทีก็ต้องร้องไห้ดังๆนานๆ ยิ่งดังและยิ่งนานก็ยิ่งได้ผล ไม่ต้องรอนาน
เวลาง่วงก็มีเสียงเพราะๆมาร้องเพลงให้ฟังจนหลับไป ตื่นขึ้นมาพวกเขาก็รออยู่ตรงหน้าแล้ว
อีกสักเดี๋ยวก็เอาของอร่อยๆมาใส่ปาก แล้วก็เล่นกันใหม่
นานวันไปยิ่งรู้สึกว่าตนเองสามารถควบคุมคนตัวโตๆที่ชื่อ “แม่”
กับ “พ่อ” ได้
แต่คนที่ชื่อ แม่ ดูจะใจดีกว่า มีเสียงเพราะกว่า และเห็นหน้าบ่อยกว่า
เรียกใช้เมื่อไหร่ไม่ค่อยผิดหวัง
เด็กวัยนี้จึงรู้สึกได้ถึงพลังวิเศษที่พวกเขามีอยู่
ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund
Freud)
ตั้งชื่ออำนาจลึกลับนี้ว่า “ Omnipotence
”
ซึ่งเป็นภาษากรีก แปลว่า อำนาจที่ยิ่งใหญ่ในจักรวาล
ไม่นานนัก รู้สึกว่าคนที่ชื่อ “แม่”
ชักไม่ค่อยยอมทำอะไรเหมือนเมื่อก่อน ต้องร้องไห้บ่อยขึ้น เสียงดังมากขึ้น
บางทีก็ต้องลงไปนอนดิ้นไปมาอยู่บนพื้นจึงจะได้ผล แต่ทำไม่กี่ครั้ง
แม่ก็ไม่ค่อยจะยอมทำอะไรให้อีก แถมยังพูดอะไรฟังไม่เข้าใจ เช่น
ชักจะดื้อมากไปแล้วนะ โตแล้วนะ ไม่รักแล้วนะ บางทีก็เอามือมาตีมือ ตีก้น รู้สึกเจ็บจนต้องร้องไห้อีก
ไม่รู้ว่า ดื้อคืออะไร เมื่อก่อนแม่คอยเอาของมาให้เหมือนรู้ว่าอยากได้อะไร
แต่เดี๋ยวนี้แม่ทำไมไม่ทำเหมือนอย่างเคย แม่เลิกรักฉันแล้วเพราะเอามือตีฉันบ่อยขึ้น
พูดเสียงดังขึ้น ทำหน้าตาน่ากลัว บางวันที่ฉันร้องไห้ไม่หยุด เพราะมันหยุดไม่ได้
เวลาฉันพยายามหยุดร้องแต่หัวฉันมันก็ยังผงกกึกๆโยกหน้าโยกหลังไม่ยอมหยุด
แล้วคนชื่อพ่อก็เข้ามาช่วยแม่ อุ้มฉันเข้าไปในห้องน้ำ พูดเสียงดังๆว่า ถ้าไม่หยุดร้องเดี๋ยวจะให้ตุ๊กแกมากินตับ
ตุ๊กแกมันต้องกัดเจ็บแน่ๆ แล้วตับฉันมันอยู่ตรงไหนกันล่ะ
ฉันร้องไห้ดังกว่าเก่าอีกเพราะกลัวตุ๊กแกมาก
การเลี้ยงดูเด็กแบบไทยๆ
มีคำขู่ให้เด็กๆหวาดกลัวมากมาย ที่นิยมใช้กันจนกลายเป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมสำหรับการเลี้ยงดูลูกมาจนถึงปัจจุบัน
สามประโยคยอดนิยมคือ
· เงียบเดี๋ยวนี้นะ
เดี๋ยวเรียกตำรวจมาจับเลย (ใช้ไม่ได้ผลกรณีที่คุณพ่อเป็นตำรวจ)
· ดื้อนัก
เดี๋ยวจับให้หมอฉีดยาเจ็บๆ (ใช้ไม่ได้ผลอีกเช่นกัน
ถ้าคุณแม่เป็นหมอซะเอง)
· ถ้ายังไม่หยุดร้องเดี๋ยวแม่จะฟ้องคุณครูให้ตีเจ็บๆ
ทั้งคุณตำรวจ คุณหมอ และคุณครู จึงกลายเป็นบุคคลที่น่ากลัวสำหรับคนไทยทั้งชาติตั้งแต่เล็กจนโต
จึงไม่น่าแปลกใจอะไร
หากจะพบชายไทยวัยหนุ่ม ร่างกายกำยำ มีใบหน้าซีดเป็นไก่ต้ม เป็นลมอยู่ในห้องฉีดยาตามโรงพยาบาลต่างๆในแต่ละวัน
หรือความคิดที่เอา จ่าเฉย มายืนตากแดดอยู่ตามมุมถนนทั่วกรุงในยุคที่มนุษย์สามารถส่งยานอวกาศไปลงดาวอังคารได้แล้ว
จะให้คนขับรถผวาแล้วขับไปชนกันเล่นหรืออย่างไร พยายามอ่านใจคนคิดว่า เขาต้องการให้จ่าเฉยทำอะไร ใครคิดออกช่วยบอกผมที
ถามลูกๆที่ไปเรียนว่า “คุณครูดุไหม อยู่โรงเรียนอย่าดื้อนะ เดี๋ยวโดนครูตี”
ตอกย้ำกันอยู่อย่างนี้ ทุกวี่วัน เด็กไทยก็เลยกลายเป็นเด็กเงียบๆเรียบร้อย (เวลาอยู่ในห้องเรียน) คุณครูถามอะไรก็ไม่กล้าตอบ
กลัวตอบผิดแล้วจะโดนคุณครูตี สร้างนิสัยไม่กล้าแสดงความคิดเห็นไปจนโต
กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติอย่างหนึ่งไปแล้ว
คุณแม่คุณพ่อทั้งหลาย อย่าทำร้ายลูกของท่าน(โดยไม่รู้ตัว)เลยนะครับ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ทุกท่านจะเลิกใช้วิธีขู่ให้เด็กๆกลัว
เพราะความกลัวไม่ได้แก้ปัญหาอะไร มีแต่สร้างปัญหา
พวกเขาจะจดจำความรู้สึกเหล่านี้ไว้ในจิตใต้สำนึกตลอดไป เมื่อคิดว่า สู้แม่กับพ่อไม่ได้
เขาอาจยอมท่านชั่วคราว เอาตัวรอดไว้ก่อน
เปลี่ยนเป็นเล่นเกมยอมแพ้เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ได้น้อยดีกว่าไม่ได้เลย
ขณะเดียวกันก็กดเก็บอารมณ์โกรธเกลียดไปเรื่อยๆ รอเวลาที่เหมาะสม
ซึ่งมักจะสุกงอมในวัยรุ่น ถึงตอนนั้นท่านเอาไม่อยู่แล้ว เพราะพวกเขาได้รับแรงขับอันทรงพลังจากฮอร์โมนเพศ
โดยเฉพาะเด็กผู้ชายส่วนหนึ่งจะกลายร่างเป็นซาตานในคราบเด็กดื้อ
เริ่มก่อวีรกรรมสร้างปัญหาให้ท่านเป็นระยะ รวมทั้งให้ตัวพวกเขาเองด้วย เช่น
ไม่ตั้งใจเรียน กลางคืนแปลงร่างเป็นเด็กแว้น ติดยาเสพติด มั่วสุมทางเพศ ไม่เชื่อฟังใครทั้งนั้น
เพราะพวกเขาได้ย้ายความโกรธเกลียด ความรู้สึกต่อต้านพ่อแม่ไปยังผู้มีอำนาจอื่นๆ
รวมทั้งกฎหมายบ้านเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แล้วจะทำอย่างไรกันดี
ป้องกันดีกว่าแก้ไขครับ
โดยเริ่มจากวัยเด็กเล็กกันเลย อย่าชะล่าใจ คิดว่ายังเล็กอยู่ ยังไม่รู้ภาษา
ดื้อๆก็ปล่อยไปตามประสาเด็ก รอโตอีกหน่อยให้รู้ภาษามากกว่านี้ ถึงเวลานั้นพูดกันดีๆก็ไม่รู้ภาษาแล้ว
หลักการคือ เวลาที่พวกเขาอยากได้สิ่งใดหรือต้องการทำอะไรที่ท่านไม่เห็นด้วย
ท่านต้องเสนอทางเลือกในลักษณะของการกำหนดเงื่อนไขหรือต่อรองเพื่อให้พวกเขามีทางออก
โดยยังคงได้รับสิ่งที่ต้องการ แต่ในคุณภาพ
หรือปริมาณที่อาจน้อยกว่าที่ขอ พร้อมทั้งฝึกให้รู้จักการรอคอย
หรือเสนอทางเลือกอื่นที่น่าสนใจและมีประโยชน์กว่า โดยต้องทำตั้งแต่เล็ก
พูดจาสื่อสารกันพอเข้าใจเมื่อไหร่ก็เริ่มได้เลย ตัวอย่างเช่น
- วัยเด็กเล็กประมาณ 2-4 ขวบ หากลูกขอให้ท่านเล่านิทานก่อนนอน โดยที่ท่านบังเอิญเหลือบไปเห็นของเล่นวางเกลื่อนพื้นห้อง ก็อาจจะบอกลูกว่า " แม่กำลังรีดเสื้ออยู่ ถ้าอยากให้แม่เล่านิทานเร็วๆ ก็ต้องเก็บของเล่นเข้าที่ก่อน เดี๋ยวแม่รีดเสื้อเสร็จก็จะได้ฟังนิทานเลยนะจ๊ะ"
- วัย 6-10ขวบ (ประมาณประถมต้น) อยากได้เลโก้ (Lego) ของเล่นเด็กราคาทรมานใจผู้ใหญ่ ท่านก็อาจสร้างเงื่อนไขโดยใช้ผลการเรียนของลูกเป็นเครื่องต่อรอง ไม่จำเป็นต้องได้ที่ 1 หรือคะแนนสูงเกินความสามารถของเขา เป้าหมายที่สูงกว่าผลการเรียนคือ การทำให้เด็กรักการเรียนและการอ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ ท่านควรพาเข้าร้านหนังสือบ่อยๆ เขาอยากอ่านหนังสือประเภทไหนก็ให้เขาเลือกเอง ไม่ต้องบังคับ เพราะนั่นคือ ความสนใจของเขาและเป็นจุดเริ่มต้นของการอยากเรียนรู้เรื่องราวต่างๆที่อยู่นอกเหนือตำราเรียน หนังสือการ์ตูนไม่ใช่ของต้องห้าม เพียงแต่ดูเนื้อหาที่เหมาะสม เป็นการให้โอกาสเขาค้นหาตัวเองไปเรื่อยๆ ในระยะยาวท่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อยกับการจ้ำจี้จ้ำไชให้อ่านหนังสือ การให้รางวัลไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของราคาแพง อาจเป็นการพาไปเที่ยวช่วงปิดเทอม ซื้อของเล่น ฯลฯ ที่สำคัญคือ ท่านต้องไม่ลืมสัญญาอย่างเด็ดขาด เรื่องแบบนี้เด็กๆจำแม่นนัก
- วัย 10-15 ปี หรือวัยรุ่นตอนต้น เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หากได้รับการปูพื้นฐานมาดี เด็กจะมีความรับผิดชอบในตัวเอง รู้ว่าเมื่อไหร่ควรหรือไม่ควรทำอะไร คุณแม่คุณพ่อทั้งหลายจึงต้องทุ่มเทเวลา และเอาใจใส่ดูแลถามทุกข์สุขของลูก ปัญหาการเรียน รวมถึงปัญหาที่ทำให้เขาไม่สบายใจอื่นๆ โดยมากมักมีเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนๆ หากมีปัญหาด้านความรักก็ไม่ควรตกใจมากนัก ซึ่งเรื่องความรักและเพศสัมพันธ์ควรให้ความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องตั้งแต่ช่วงต้นๆของวัยนี้ โดยการเพิ่มรายละเอียดขึ้นตามอายุและความสนใจของเด็ก เนื้อหาสาระหลักๆได้แก่ การพูดให้ฟังว่าเมื่อถึงวัยหนึ่งพวกเขาจะมีความรู้สึกอย่างไรในเรื่องความรัก และควรมีแนวทางปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง ขอบเขตของพฤติกรรมที่พวกเขาทำได้ (มีแฟน-ควรพูดคุยกับลูกในลักษณะเป็นที่ปรึกษา ไม่ใช่ผู้ออกคำสั่ง เพราะเรื่องแบบนี้สำหรับบางคน ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ การพูดคุยทำให้เรารู้ว่า ลูกคิดอย่างไร ถูกต้องหรือไม่ เพื่อช่วยนำทางให้เขาปฏิบัติตัวได้อย่างเหมาะสม), เรื่องที่ทำไม่ได้ (มีเพศสัมพันธ์) และควรทำ (แบ่งเวลาให้เหมาะสม การเรียนต้องมาก่อนทุกเรื่อง ออกกำลังกาย เล่นกีฬา) หาไม่แล้วเมื่อถึงเวลาที่ต้องเผชิญกับเรื่องจริง พวกเขาอาจไม่มีภูมิคุ้มกันมากพอ ทำให้ตัดสินใจทำสิ่งที่ไม่สมควร
เด็กที่ผ่านการฝึกฝนการใช้เหตุผลที่ดีกับคุณแม่คุณพ่ออย่างสม่ำเสมอ
จะมีการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องพร้อมๆไปกับความภาคภูมิใจในตนเอง ควรให้โอกาสเด็กเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอย่างมีเหตุผล
อาศัยการต่อรองที่ยอมรับกันได้ทั้งสองฝ่าย ประเด็นสำคัญก็คือ
เขาไม่รู้สึกว่าถูกอำนาจที่เหนือกว่าเพียงเพราะตัวใหญ่กว่า หรือเพราะเป็นคุณแม่
คุณพ่อ ซึ่งเป็นผู้มีพระคุณ แต่ไม่มีเหตุผลในความคิดของเขา หาไม่แล้วสักวันหนึ่ง เขาก็อาจใช้อำนาจที่ได้จากการเรียนรู้อย่างผิดๆไปใช้กับคนอื่น
ไม่เว้นแม้กับคนรักของพวกเขาเอง
ย่อหน้าต่อไปนี้
จัดให้เป็นพิเศษสำหรับท่านที่มีแฟนซึ่งชอบทำตัวเป็นเด็ก เช่น
ขว้างปาข้าวของเวลาโกรธ
ทำร้ายตัวเองด้วยการเอามีดกรีดข้อมือและท้องแขนเป็นรอยเท่าแมวข่วน
คุณคงสงสัยและอยากหาทางแก้ไขพฤติกรรมเหล่านี้มานานแล้ว หรือไม่ก็กำลังคิดจะเปลี่ยนแฟนใหม่ให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปเลย
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ
ต้องย้อนกลับไปที่วัยเด็กเล็กกันอีกครั้ง ในช่วงอายุระหว่าง 2-5 ปี (อาจเกิดหลังจากนี้
แต่มักมีจุดเริ่มต้นที่อายุดังกล่าว เมื่อไม่ได้รับการแก้ไข
จึงมีอาการมากขึ้นและแก้ไขได้ยาก เพราะคุณแม่คุณพ่อส่วนใหญ่มักเป็นฝ่ายยอมแพ้ต่อมาตรการทำร้ายตนเองของลูก)
ซึ่งเป็นช่วงแรกของการต่อสู้แย่งชิงความเป็นใหญ่ในบ้านระหว่าง คุณแม่กับคุณพ่อฝ่ายหนึ่ง
และลูกอีกฝ่ายหนึ่ง ความยุ่งยากเกิดเมื่อฝ่ายลูกมีกองหนุนคือ คุณปู่คุณย่า อาม่าอากง เด็กในวัยนี้มีความสามารถที่น่าทึ่งในการใช้ความน่ารักไร้เดียงสาของตนเองให้เกิดประโยชน์
เกมต่อรองจึงเกิดถี่ขึ้นตามความต้องการที่มากขึ้นตามวัย เมื่อขอกันดีๆไม่ให้
เด็กเกิดการเรียนรู้ทีละน้อยที่จะใช้มาตรการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
เริ่มจากการวิ่งไปฟ้องผู้อาวุโสประจำบ้าน หากอรหันต์ทั้งสี่ไม่เล่นด้วย
ก็ต้องใช้อาวุธลับคือ สิ่งของทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือ
ขว้างออกไปยังจุดหมายที่สร้างความเสียหายมากที่สุด เห็นผลทันตา
ทั้งข้าศึกและพันธมิตรร้องเสียงหลงยอมยกธงขาวทันที จากนั้น
ยุทธวิธีที่คิดขึ้นได้โดยบังเอิญนี้ก็จะถูกนำออกมาใช้อย่างสม่ำเสมอ
จนกระทั่งเกิดความสงบสุขในบ้านได้อย่างน่าประหลาด
ตราบจนกระทั่งเด็กๆโตเป็นหนุ่มสาว เริ่มมีแฟนหรือแยกออกไปมีครอบครัวเป็นของตัวเอง
เมื่อต้องเผชิญกับการขัดใจ ไม่ได้ดั่งใจ
ก็จะนึกถึงยุทธวิธีเดิมที่ไม่ได้ใช้มานานแต่ยังคงเก็บไว้ในจิตไร้สำนึก
เมื่อถูกนำออกมาปัดฝุ่นใช้อีกครั้ง คราวนี้ผลที่ได้ชักไม่แน่นอน
ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของข้าศึก
หากได้คู่ต่อกรที่กำลังพอกันก็จะเพิ่มจำนวนและราคาของอาวุธมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดอีกฝ่ายยอมยกธงขาวแต่โดยดี
แต่ถ้าต้องเจอคู่ต่อสู้ที่ใช้ยุทธวิธีเดียวกันแล้วสู้ไม่ไหว
ก็ต้องหันไปใช้วิธีทำร้ายตัวเอง สุดท้ายคือดับเครื่องชนให้ตายกันไปข้างหนึ่งหรือตายด้วยกัน
สาระสำคัญสำหรับตอนนี้ก็คือ
- การใช้อำนาจเกิดจากการเรียนรู้จากตัวอย่างผิดๆ
- การอบรมเลี้ยงดูแบบสองมาตรฐานในวัยเด็กเล็ก ส่งผลเสียหายต่อพฤติกรรมการใช้อำนาจของพวกเขาในระยะยาว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น