ด้านมืดของความรัก
คุณเคยสังเกตไหมว่า ชีวิตคนเรามักเกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่มีสองด้านเสมอ
ทั้งรูปธรรมและนามธรรม เช่น สว่าง-มืด, สูง-ต่ำ, ดำ-ขาว, หนาว-ร้อน, หิว-อิ่ม, อยาก-เบื่อ, ความดี-ความชั่ว, ความรวย-ความจน, สุข-ทุกข์, สมหวัง-ผิดหวัง โดยเฉพาะเรื่องของ
ความรัก ที่เรากำลังมาทำความรู้จักกับมันมากขึ้นอยู่ในขณะนี้ ผมเชื่อว่า
คุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการความรัก แต่ไม่ว่าคุณจะอยากมี เคยมี หรือกำลังมีความรักอยู่ก็ตาม
ผมเชื่ออีกเช่นกันว่า ทั้งๆที่คุณรู้ว่า ความรักจะนำความสุขมาให้คุณอย่างมากก็ตาม แต่ลึกๆแล้วคุณก็อดกังวลไม่ได้ว่า มันจะนำความทุกข์มาให้คุณด้วยเช่นกัน
ความกังวลนี้หากไม่ได้รับการแก้ไขทันเวลาก็อาจกลายเป็นความหวาดหวั่นจนทำให้คุณปฏิเสธความรักไปเลย
หรืออาจทำอะไรแบบกลัวๆกล้าๆ เบื่อๆอยากๆ ซึ่งในที่สุดแล้วก็ไปไม่รอด เพราะความรักไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
จึงต้องทำอย่างจริงจัง แต่ถึงจะมุ่งมั่นเอาจริงกับมันเต็มที่ ก็ไม่ได้หมายความว่า
จะประสบความสำเร็จทุกรายไป สำหรับคนที่เคยผิดหวังมาก่อน
ย่อมรู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดรวดร้าวจนยากที่จะลืม ชีวิตช่วงนั้นเหมือนตกอยู่ใน ความมืดสนิท
มองไม่เห็น ไปไม่เป็น หมดกำลัง
ไม่อยากพบใคร อยากตาย
มีวิธีป้องกัน ความมืด ไม่ให้เกิดกับความรักของคนเราได้บ้างไหม
หากเกิดขึ้นแล้วจะทำอย่างไรให้มันกลับมาสว่างอีกครั้ง มีแน่นอนครับ และมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น
โดยการทำความรู้จักกับมันให้ดีเสียก่อน ด้วยสายตาที่ไม่มืดบอดไงครับ
แต่ที่น่าตกใจก็คือ ความมืดบอดเหล่านั้นมันอยู่ในจิตใจของเราอยู่แล้ว อยู่มานานมาก
และจะยังคงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องยากที่เราจะสลัดมันทิ้งไป ทั้งนี้ก็เพราะความมืดบอดเหล่านั้นมันได้แฝงตัวมากับขนบธรรมเนียม
ประเพณีและวัฒนธรรม ซึ่งเป็นตัวกำหนดความคิด ความเชื่อ และค่านิยมผิดๆให้กับสังคมมานานหลายชั่วอายุคนแล้ว
พวกเราจึงคุ้นเคยกับมันและยอมให้มันมากำหนดวิถีชีวิตของเราโดยไม่รู้ตัว
และไม่ตระหนักว่า สักวันหนึ่ง พวกมันจะหวนกลับมาทำลายชีวิตรักของเราให้พังทลายลงได้
เชิญพบกับพวกมันได้แล้วครับ “ด้านมืดของความรัก”
1. ความหึงหวง (Jealousy)
ความหมาย
โดยทั่วไป
เรามักคุ้นเคยกับคำว่า “ jealousy ”
ในความหมายของ “ ความอิจฉาริษยา ”
แท้จริงแล้วคำนี้ยังแปลว่า “ ความหึงหวง ” อีกด้วย เมื่อพิจารณาให้ดีจะพบความเกี่ยวข้องกันคือ
ความหึงหวงนั้นมีความอิจฉาร่วมอยู่ด้วย ที่เหลือคือ ความรู้สึกเป็นเจ้าของ,
ความระแวงสงสัย, ความกลัว และความโกรธ
จึงเป็นเรื่องยากที่จะหาคำจำกัดความสั้นๆให้กับคำว่า “ ความหึงหวง
” ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว
คำนี้มีความหมายที่ทุกคนเข้าใจกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คนที่เคยมีประสบการณ์ตรงมาก่อน
ความหึงหวงเกิดขึ้นได้อย่างไร
ความหึงหวง
เป็นเรื่องของสัญชาติญาณหรือเกิดจากการเรียนรู้
เป็นองค์ประกอบหนึ่งของความรักใช่ไหม เป็นเรื่องสากลคือเกิดกับชนทุกชาติ
ทุกวัฒนธรรมหรือไม่ สัตว์มีความหึงหวงหรือเปล่า
นักวิชาการพยายามหาคำตอบเหล่านี้โดยอาศัยเหตุผลทางด้านมานุษยวิทยา สังคมวิทยา
และจิตวิทยามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่การหาข้อสรุปในเรื่องที่เกี่ยวกับนามธรรมเช่นนี้ทำได้ยากลำบากกว่าเรื่องที่เป็นรูปธรรมมาก
ความหึงหวง เกี่ยวข้องกับความคิด อารมณ์
และพฤติกรรม การศึกษาจึงต้องทำกับคนเป็นส่วนใหญ่ ทั้งจากการสัมภาษณ์ สอบถามกันโดยตรง
รวมทั้งศึกษาจากบันทึกเรื่องราวในอดีตที่สะท้อนความรู้สึกในเรื่องนี้เอาไว้ บางครั้งยังมีการศึกษาในสัตว์อีกด้วย
นักวิชาการกลุ่มหนึ่งได้ทำการศึกษาในชนเผ่า Aborigines ที่เมือง Arnhem Land ประเทศออสเตรเลีย
พบว่า พวกเขายอมรับว่ามีความหึงหวงรุนแรงในคู่ครองของตน
และสามารถเกิดขึ้นได้แม้เพียง เห็นคนรักของตนกำลังจ้องมองเพศตรงข้าม
ในสังคมของพวกเขา ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคน
ผู้ชายที่มีภรรยาหลายคนมักมีความหึงหวงมากขึ้นตามลำดับ เพราะกลัวว่าภรรยาคนหนึ่งคนใดจะนอกใจ
ในขณะที่บรรดาภรรยาต่างก็แสดงความหึงหวงสามีคนเดียวกันของพวกเธอไม่ต่างจากภรรยาเดี่ยว
ย้อนหลังไปสัก 3-4
ล้านปี ในยุคที่มนุษย์อาศัยอยู่ในถ้ำ
ผู้ชายต้องออกหาอาหารมาให้ทุกคนในครอบครัว ผู้หญิงที่เป็นคู่ของตัวเองทำหน้าที่ดูแลลูกๆ
และประกอบอาหาร หากวันหนึ่งผู้ชายกลับมาและพบว่าคู่ของตนกำลังมีอะไรกับชายอื่น
เขาคงต้องโกรธจัด ตรงเข้าต่อสู้ ทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตายกันไปข้างหนึ่ง สำหรับฝ่ายหญิงก็คงไม่ต่างกัน
หากพบว่าคู่ของตนไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่น เธอก็น่าจะตรงเข้าทำร้ายทั้งหญิงคนนั้นและคู่ของเธอด้วยความหึงหวง
ตามด้วยการขับไล่หญิงคนนั้นออกจากที่แห่งนั้นเสีย
หากไม่มีความหึงหวงระหว่างคู่ครอง ก็อาจทำให้ชีวิตครอบครัวแตกแยก
ส่งผลต่อการอยู่รอดของลูกๆ ความหึงหวงอย่างรุนแรงของทั้งสองฝ่ายจึงเป็นปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ช่วยเหนี่ยวรั้งจิตใจไม่ให้คู่ครองนอกใจกัน
ทำให้เกิดความเข้มแข็งต่อสถาบันครอบครัวในยุคแรกๆของมนุษยชาติ เหล่านี้คือมุมมองของนักมานุษยวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์จากยุคหนึ่งสู่อีกยุคหนึ่ง
เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่ามนุษย์มีการพัฒนาตัวเองมาอย่างไร จึงสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ผ่านกาลเวลาอันยาวนานมาได้
สิ่งสำคัญที่มนุษย์ในยุคปัจจุบันควรตระหนักร่วมกันก็คือ
พวกเราได้ข้อคิดอะไรบ้างที่จะช่วยกันนำพาเผ่าพันธุ์ของตนเองให้อยู่รอดต่อไป
ประการสำคัญคือ ควรเป็นสังคมที่สงบสุข มีการแบ่งปัน
ไม่เอารัดเอาเปรียบกันในทุกรูปแบบ ไม่มีสงคราม เป็นสังคมของมนุษย์ผู้เจริญอย่างแท้จริง
นักวิชาการจำนวนหนึ่งได้ทำการวิจัยเรื่องความหึงหวงในวัฒนธรรมต่างๆ
ได้ผลสรุปที่น่าสนใจ และเป็นไปในทำนองเดียวกัน กล่าวคือ คู่ครองที่มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
ทั้งสองเพศจะมีความหึงหวงในความรู้สึกว่า ถูกทรยศหักหลัง
ไม่ซื่อสัตย์เรื่องเพศ
โดยจินตนาการไปถึงรายละเอียดของการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างคนรักกับชู้ ส่วนคู่รักที่มีสัมพันธ์กันมายาวนาน พบว่า
มีความแตกต่างกันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ดังนี้
- ผู้ชาย
มีความรู้สึกว่า ถูกทรยศหักหลัง
ไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเพศสัมพันธ์ มากกว่าการถูกทรยศหักหลังเพราะความไม่ซื่อสัตย์ทางอารมณ์
- ผู้หญิง
มีความรู้สึกว่า ถูกทรยศหักหลัง ไม่ซื่อสัตย์ทางอารมณ์
มากกว่าในเรื่องเพศสัมพันธ์
Dr.
Helen Fisher นักวิชาการผู้คร่ำหวอดในงานวิจัยเกี่ยวกับความรักและเขียนหนังสือหลายเล่ม
ได้ทำการทดสอบทางจิตวิทยาเรื่องความหึงหวงของหญิงชายชาวอเมริกัน พบว่า
ไม่มีความแตกต่างกันในแง่ปริมาณ แต่สิ่งที่ต่างกันคือ
การตั้งรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้
- ผู้หญิง
โดยทั่วไปมักเต็มใจที่จะแกล้งทำเป็นไม่สนใจ เพื่อต้องการรักษาชีวิตคู่เอาไว้
มีลักษณะประนีประนอมมากกว่าฝ่ายชาย
- ผู้ชาย มักเลือกใช้วิธีรุนแรงเด็ดขาด
เช่น ใช้คำพูดก้าวร้าว ทำร้ายร่างกาย อาจถึงขั้นฆ่าให้ตาย หรือลงเอยด้วยการหย่าร้าง
จากสถิติการฆาตกรรมในประเทศสหรัฐอเมริกาแต่ละปีพบว่า
ความหึงหวงเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ นักวิชาการท่านนี้ยังเชื่อว่า
เหตุการณ์ทำนองนี้ยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมากในวัฒนธรรมอื่นๆ แต่มีความยากลำบากในการเก็บข้อมูลเพราะการปิดกั้นทางวัฒนธรรม
ศาสนา และการเมือง
การค้นพบนี้
ทำให้เกิดความสงสัยตามมาว่า อะไรเป็นสาเหตุของความแตกต่างนี้ จึงต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่ในยุคมนุษย์ถ้ำ
ซึ่ง เชื่อกันว่า ผู้ชายแต่ละคนมีคู่ครองมากกว่าหนึ่งคน เพราะผู้ชายมีหน้าที่เข้าป่าล่าสัตว์ มีโอกาสเสียชีวิตจากสัตว์ร้ายและสัตว์มีพิษ จากอุบัติเหตุตกต้นไม้
หน้าผาสูง การต่อสู้กับคนต่างเผ่าพันธุ์ ทำให้ประชากรเพศหญิงมีจำนวนมากกว่า
ครั้นเมื่อผู้ชายมีผู้หญิงอยู่ในครอบครองจำนวนมาก ก็อาจเกิดความหวาดระแวง กลัวว่า
ช่วงเวลาที่พวกเขาออกไปล่าสัตว์ จะมีชายอื่นมาสวมเขาให้
ทุกครั้งที่บรรดาหญิงในสังกัดตั้งครรภ์ขึ้นมา ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ลูกในท้องเป็นของตนหรือไม่
ความกังวลนี้จึงผลักดันพวกเขาให้ต้องการผู้หญิงของเขาทุกคนมีเพศสัมพันธ์กับเขาเพียงคนเดียว
ส่วนฝ่ายหญิงก็จะมีความคิดว่าพวกเธอต้องลงทุนลงแรงไปมากมายในการมีลูกคนหนึ่งๆ
จำเป็นที่ฝ่ายชายจะต้องแบกภาระนี้ร่วมกันกับเธอ
การไปมีหญิงอื่นแม้เพียงคนเดียวเป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ จากเหตุผลที่ยึดเอาความต้องการของตนเองของทั้งสองเพศนี้
ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ความหึงหวง ในที่สุด
Dr. Gary
L. Brase นักจิตวิทยาและนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยประจำรัฐ
แคนซัส (Kansas State University) ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการวิจัยโดยเลือกประเทศที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรต่างกัน
พบว่า ประเทศที่มีอัตราการเพิ่มของประชากรสูง เช่น บราซิล
ผู้ชายจะมีระดับความหึงหวงรุนแรงกว่าผู้ชายในประเทศที่มีอัตราการเพิ่มน้อยกว่า
เช่น ญี่ปุ่น (ผมไม่ทราบว่า เขาวัดระดับความหึงหวงกันอย่างไร
เดาเอาว่า
คงใช้แบบสอบถามที่ผ่านการทดสอบความเที่ยงและความตรงมาแล้วตามหลักวิชาสถิติและการวิจัยนั่นแหละครับ)
การค้นพบนี้ ทำให้เห็นถึงความสอดคล้องกันกับเหตุผลดังกล่าวข้างต้น (มีลูกดกแต่ไม่แน่ใจว่าเป็น ลูกใครหว่า ก็เลยระแวงจนเกิดความหึงหวง) ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไร คงต้องศึกษากันต่อไปอย่างละเอียดโดยคำนึงถึงตัวแปรต่างๆ
เช่น ความเชื่อทางศาสนา, ค่านิยม,
ขนบธรรมเนียม, ประเพณี, ระดับการศึกษา, ฐานะทางเศรษฐกิจ, ระดับชนชั้นทางสังคม, ความเข้มแข็งของการบังคับใช้กฎหมาย เป็นต้น
ในตอนต่อไปผมจะอธิบายให้เข้าใจว่า ความกลัว
ทำให้เกิด ความหึงหวง ได้อย่างไร ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น