3. “กิ๊ก”
แม้ว่าคำๆนี้จะเพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน แต่มีการนำไปใช้กันอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน ผมไม่แน่ใจว่าได้รับการบรรจุไว้ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ฉบับล่าสุดหรือยัง เท่าที่ตรวจสอบในฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๒ นั้้น ยังไม่มีการบัญญัติในความหมายตามที่เข้าใจกัน
สำหรับความหมายที่รับรู้กันโดยทั่วไปนั้น
ยังแตกต่างกันอยู่พอควร จากการสอบถามผู้คนจำนวนหนึ่งพบว่า
ความหมายของกิ๊กที่เข้าใจตรงกันคือ คนที่เป็นมากกว่าเพื่อน แต่ไม่ใช่แฟน
ที่ต่างกันคือ กลุ่มหนึ่งบอกว่า ยังไม่เพศสัมพันธ์กัน อีกกลุ่มหนึ่งก็ว่า
ต้องมีเพศสัมพันธ์กันด้วย
ส่วนตัวผมเองคิดว่า ถูกต้องด้วยกันทั้งสองกลุ่ม เพียงแต่มองกันคนละช่วงเวลา
เพราะสุดท้ายแล้วก็มักจบลงด้วยการมีเพศสัมพันธ์กันหากปล่อยให้ทุกอย่างเดินหน้าต่อไป
นี่เป็นเพียงสมมุติฐานเท่านั้นนะครับ
โดยอาศัยเหตุผลที่ว่า ความรู้สึกของคนที่เป็นกิ๊กกันนั้น พอจะเทียบเคียงได้กับความรักใคร่ระหว่างหนุ่มสาวที่เริ่มจาก
ความหลงใหลเสน่หา (Passion) ที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายมีให้ต่อกัน ตามมาด้วยความรู้สึกผูกพันกันมากขึ้น
และพัฒนาไปจนถึงจุดสุกงอมดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในบท “ ทฤษฎีสามเหลี่ยมแห่งรัก
” เท็จจริงอย่างไรคงต้องรอให้นักวิชาการทำการศึกษากันต่อไป
หากพิจารณาในแง่พฤติกรรมทำนองนี้ในอดีต คำว่า“ ชู้ ” จะตรงกับความหมายในกรณีที่สองคือ
มีเพศสัมพันธ์กันด้วย สำหรับกรณีแรกน่าจะพอใช้คำว่า “ ชู้ทางใจ ” ได้ ทั้งนี้
ผู้มีพฤติกรรมดังกล่าวคงต้องถามใจตัวเองว่า คิดอะไรอยู่
ทุกครั้งที่อยู่กับเพื่อนที่รู้ใจคนนั้น คนที่เริ่มใช้คำว่า
“ กิ๊ก ” เป็นคนแรกนั้นเขาหมายถึงความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่
แล้วคนที่นำไปใช้ต่อๆมาคิดเหมือนกับคนแรกหรือไม่ เมื่อถามคนกลุ่มที่สองว่า กิ๊ก กับ ชู้
ต่างกันอย่างไร คำตอบที่ได้รับจากการสอบถามในคราวเดียวกันก็คือ คำว่า “ ชู้ ” มันแรงไป (จนกระทบต่อมศีลธรรมทั้งต่อคนมีชู้และคนเป็นชู้
รู้สึกรับไม่ได้ แสลงใจเกินไป จึงเกิดความคิดที่จะหาคำใหม่ที่ฟังนุ่มหูกว่า และไม่รู้สึกถูกประณามหยามเหยียดจากสังคม
อีกทั้งยังฟังดูเป็นเรื่องโก้เก๋ จนบางรายอดที่จะนำความลับมาเล่าสู่เพื่อนสนิทฟังไม่ได้)
ส่วนสาเหตุที่ผมจัดให้มันเป็นหนึ่งใน ด้านมืดของความรัก
ก็เพราะ ความหมายที่แท้จริง ของมันยังคงดำรงอยู่ และสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ มันเริ่มต้นจากความรู้สึกพึงพอใจ
ถูกตาต้องใจ จนกลายมาเป็นเพื่อนใจ ก่อให้เกิด ความผูกพันทางอารมณ์ (Emotional
attachment) ระหว่างคนสองคนที่ต่างก็…..มีคนรักแล้ว
ผลกระทบที่เกิดขึ้น
จึงไม่ต่างกัน
หากคุณกำลังมีพฤติกรรมและอาการต่างๆต่อไปนี้อยู่ในขณะนี้
· แอบคบหาใครสักคนหรือมากกว่าอย่างลับๆ
· ช่วงแรกๆต่างฝ่ายต่างคิดถึงกันเกือบตลอดเวลาเหมือนคนที่ตกอยู่ในความรัก
คือมีอาการเหม่อลอย ฝันกลาง วัน ไม่ค่อยมีสมาธิในการทำงาน ประสิทธิภาพของงานลดลง ยอมเลื่อนนัดหมายสำคัญๆ
· ไม่สนใจครอบครัวเหมือนเดิม
· รู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจตัวคุณได้ดีไปกว่าคนพิเศษคนนี้
· เฝ้าติดตามพฤติกรรมของเขาหรือเธออยู่ตลอดเวลาว่า
จะมีใครมาคบหาอีกหรือไม่
· จิตใจจดจ่ออยู่กับการวางแผนที่จะได้พบกับเขาหรือเธออย่างต่อเนื่อง
· ไม่ตระหนักถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากความลับถูกเปิดเผย
· เวลาถูกเพื่อนฝูงหรือคนรักถาม
ก็มักปฏิเสธอยู่เสมอว่า “ไม่มีอะไร เป็นแค่เพื่อนกัน”
พร้อมทั้งเดินหน้าคบหา กันแบบลับๆต่อไป
· เก็บคนๆนี้ไว้เป็นความลับขั้นสุดยอด
ไม่ยอมเปิดเผยตัวตนให้เพื่อนๆ หรือคนรักของตนได้รู้จักในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง
พึงตระหนักว่า คุณกำลังมี “ กิ๊ก ”
ในระยะ “ ชู้ทางใจ ” เข้าแล้ว
ทำไมคนเราจึงมี “กิ๊ก”
จากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการในต่างประเทศ (ด้วยการสอบถามคนมี
กิ๊ก จำนวนหนึ่ง) สรุปสาเหตุสำคัญๆได้ ดังนี้
1. ความไม่สมหวัง
ในคู่รักของตัวเอง เพราะ
- คู่รักไม่ใส่ใจดูแล
พูดจาหยาบคาย ไม่ให้เกียรติ
- เย็นชาต่อกัน ไม่สนใจไถ่ถามทุกข์สุข
- มีเพศสัมพันธ์กันนานๆครั้งหรือไม่มีเลยมาระยะหนึ่ง
- คู่รักไม่มีความรับผิดชอบ
ไม่มีภาวะผู้นำ ไม่มีอะไรน่าภาคภูมิใจ
- คนพิเศษคนนั้น
มีอะไรบางอย่างมาเติมเต็มให้คุณ
2. ความเหงา ซึ่งเกิดได้ในหลายสถานการณ์
- คู่รักอยู่ห่างไกลกัน เช่น
ทำงานอยู่ต่างเมืองหรือต่างประเทศ มีใครบางคนเดินเข้ามาในชีวิตช่วงนั้น
หาความรักไม่เข้มแข็งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็มีโอกาสที่ความใกล้ชิดกับคนใหม่จะทำให้เคลิบเคลิ้มหลงใหล
เกิดความเห็นอกเห็นใจ และกลายเป็นความรักในที่สุด
3. ความอ่อนไหวทางอารมณ์ เนื่องจากความอ่อนต่อโลก อ่อนไหวต่อคำพูดเยินยอ
ความเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นง่ายบวกความมีเสน่ห์ทำให้เป็นที่น่าสนใจต่อเพศตรงข้าม (โดยเฉพาะพวกนักรักที่หลงตัวเอง (Narcissists) หรือพวกเจ้าชู้) และได้รับการเอาใจใส่ดูแลในแบบที่ไม่ค่อยได้รับจากคนรักมาก่อน
รู้สึกตื่นเต้นแปลกใหม่ เกิดความต้องการที่จะรักษาความรู้สึกนั้นไว้
ทำให้อยากคบหากับคนๆนั้นต่อไปในแบบลับๆเพื่อชดเชยความรู้สึกที่หายไป
สำหรับรายที่ไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกรักในแบบหวานซึ้ง (Romantic
experience) มาก่อน เพราะชีวิตคู่มาจากการคลุมถุงชน ก็อาจเคลิบเคลิ้มไปกับความรู้สึกที่แปลกใหม่ได้หากพบกันคนที่มีทักษะการใช้คำพูดและการกระทำที่ทำให้เพศตรงข้ามหลงรัก
ผมอยากจะเพิ่มให้อีกหนึ่งข้อ คือ ระดับคุณธรรม
ที่แตกต่างกันของแต่ละคน หากไม่พูดถึงเรื่องนี้กันให้ชัดเจน
สาเหตุทั้งสามข้อข้างต้นจะกลายเป็นคำแก้ตัวสำหรับคนที่อยากมีกิ๊กอยู่แล้ว และจะทำให้สังคมไม่มีทางออกสำหรับเรื่องนี้
ไม่ว่าการมี “ กิ๊ก ” จะเกิดขึ้นจากสาเหตุใดก็ตาม
ความสัมพันธ์เช่นนี้มักดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนเลยความเป็นเพื่อน
กว่าจะรู้ตัวก็เป็นความรักในแบบคู่รักไปแล้ว และลงเอยด้วยการมีเพศสัมพันธ์กัน (Sex
affair)
ดังเช่นในภาพยนตร์เรื่อง “ Torn between two
lovers ”
ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับสาวใหญ่มีสามีแล้ว
เกิดถูกชะตากับหนุ่มวัยเดียวกันในระหว่างการเดินทาง จัดเป็นภาพยนตร์คุณภาพด้านเนื้อหาอีกเรื่องหนึ่งที่ให้อุทธาหรณ์สอนใจเราไม่ให้ตกอยู่ในความประมาทต่อเรื่องรักๆใคร่ๆ
รายละเอียดเป็นอย่างไรลองหาชมกันนะครับ มีเพลงเพราะๆความหมายสะท้านใจชื่อเดียวกับภาพยนตร์ให้ฟังเตือนใจยามที่เราพบคนถูกใจ…………..แต่มาผิดเวลา
ข้อคิด
ชีวิตคนเราทุกวันนี้อาจจะไม่มีโอกาสได้เหงาจับจิตเหมือนคนยุคก่อนอีกแล้ว
เพราะคุณสามารถสื่อสารกับใครได้ตลอดเวลา แม้กับคนที่ไม่รู้จัก คุณสามารถติดต่อกับ “ กิ๊ก ” จากเตียงนอนโดยที่คนรักของคุณกำลังกรนกระหึ่มอยู่ข้างๆ
คนส่วนหนึ่งสามารถพบรักหรือคนที่รู้ใจผ่านอุปกรณ์สื่อสารทันสมัยที่หลากหลาย
แต่จะมีใครทราบจำนวนผู้ที่ผิดหวังหรือถูกหลองลวงโดยพวก
18 มงกุฎว่ามีมากน้อยเพียงใด หลายคนอาจหมดอนาคตหรือต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเสียดาย
โดยไม่ปรากฏเป็นข่าว
ดังนั้น ชีวิตที่เรียบง่าย ถึงแม้จะเหงาหรือน่าเบื่อสักหน่อย แต่มีความปลอดภัย
ก็ยังดีกว่าการคบหาอยู่กับคนแปลกหน้าที่กลายมาเป็น “กิ๊ก”
ซึ่งที่สุดแล้วจะสร้างปัญหาให้คุณ………………….อย่างแน่นอน
เกร็ดชีวิต
ชีวิตในโลกทุนนิยมเช่นทุกวันนี้
บีบให้เราทุกคนต้องต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอดด้วยการทำงานหรือทำอะไรก็ได้
เพียงเพื่อให้ได้เงินมายังชีพ
แต่ไม่ว่าจะจนหรือรวยแค่ไหน สิ่งที่ต้องการเหมือนกันคือ คนรู้ใจสักคน ความร้อนรุ่มในหัวใจเพิ่มขึ้นทุกขณะตราบใดที่คุณยังหาคนถูกใจไม่ได้
เมื่อถูกความเหงารุมเร้าอยู่ทุกวัน หัวใจที่ยังไม่พร้อมจึงพยายามหาตัวแทนแห่งความรักมาช่วยคลายเหงาชั่วครู่ยาม
เหตุนี้เองจึงเป็นที่มาของธุรกิจคลายเหงามากมาย แตกต่างกันไปตามค่านิยม ความเชื่อ
และกฎหมายบ้านเมือง ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเร็วๆนี้
…………ธุรกิจเพื่อนนอน
“ ฮือฮาคาเฟญี่ปุ่น กอดสาวแก้เหงา
” เป็นหัวข้อข่าวจากหนังสือพิมพ์ “ ข่าวสด
” หน้า 10 ฉบับประจำวันอาทิตย์ที่ 28
ตุลาคม พ.ศ. 2555 อ้างสำนักข่าว เอบีซีนิวส์
เมื่อวันที่ 27 ต.ค. ว่า ได้เกิดธุรกิจให้บริการแหวกแนวขึ้นที่ร้าน “ โซอิเนยะ
” อยู่ที่ย่าน อากิฮาบาระ กรุงโตเกียว ผู้ให้บริการคือ
สาวน้อยอายุระหว่าง 17-25 ปี ซึ่งลูกค้าสามารถกอดหรือหนุนตักพวกเธอได้ แต่ไม่มีขายบริการทางเพศ โดยคิดค่าห้องชั่วโมงละ
3,700 บาท แพ็กเกจมาตรฐานคือ กอดกันบนฟูกนอน ขั้นต่ำ 20 นาที แต่ไม่เกิน 10 ชั่วโมง ราคาแพงสุดอยู่ที่ 19,500
บาท มีบริการปลีกย่อยให้เลือกอีกหลายอย่าง เช่น นอนหนุนตัก, นอนหนุนแขน ให้ลูบหัวหรือลูบหลัง ราคาอย่างละ 400 บาท
ต่อ 3 นาที, จับมือ 400 บาท ต่อ 10 นาที, จ้องตา 400
บาท ต่อ 1 นาที, อยากให้สาวสวมใส่ชุดนอนหรือชุดคอสเพลย์
เพิ่มอีก 400 บาท หากยังไม่หนำใจลูกค้าประเภท “ มาโซคิสติก ” (Masochistics - พวกชอบให้คนรักทำร้ายร่างกายจึงจะเกิดอารมณ์ทางเพศ) ก็สามารถขอรับบริการตบหน้าได้ในราคา
400 บาท ต่อครั้ง ผมขอนำภาพจากหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวมาให้ชมกันเพื่อยืนยันว่า เรื่องนี้มีจริง
เพี้ยนได้ใจจริงๆนะครับ แต่ก็ คิขุอาโนเนะ สไตล์ญี่ปุ่นเขา ไม่ต้องไปหากิ๊กให้เสียเวลา และอาจจะเสียเงินน้อยกว่า ผมไม่ได้หนับหนุนนะครับ งานนี้ตัวใครก็ตัวใครดีกว่าไม่ว่ากัน
หัวข้อต่อไปขอเสนอเรื่องเบาสมองสักหน่อย
เป็นแบบทดสอบเพื่อค้นหาบุคลิกภาพของตัวคุณเอง
รวมทั้งคนที่คุณกำลังแอบรักอยู่ในเวลานี้ จะแม่นยำเพียงไรก็สุดแต่จะพิจารณากันเองครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น