ท่านคงจะเคยสงสัยมาก่อนเวลาได้ข่าวว่า
เพื่อนคนนั้น ดาราคนโน้น ประกาศแยกทางกันทั้งๆที่ดูเหมือนว่าพวกเขารักกันมาก
หรืออาจเคยฟังคำตัดพ้อของเพื่อนสนิทพูดถึงแฟนว่า เดี๋ยวนี้เขาไม่เหมือนเมื่อก่อน
ไม่ค่อยสนใจดูแล ไม่เอาใจเหมือนตอนรักกันใหม่ๆ
เกิดอะไรขึ้นระหว่างเขาทั้งสอง? พวกเขาไม่รักกันแล้วหรือ?
เพื่อตอบข้อสงสัยนี้
ผมจึงขอนำเอาหัวข้อหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ หรือรู้แต่ไม่เต็มใจยอมรับ
มาเล่าให้ท่านฟังกัน ขอตั้งหัวข้อว่า “ ความรัก 9
ขั้นตอน ” ก็แล้วกันนะครับ
มีอะไรบ้างเชิญติดตามกันได้เลย
1. รักในจินตนาการ (Imaginary
Love)
เมื่อคนเรามีอายุย่างเข้าสู่วัยหนุ่มสาวก็มักจะเริ่มคิดถึงเรื่องความรัก
แต่ละคนจะมีจินตนาการเกี่ยวกับคนรักแตกต่างกันไปตามความเชื่อ และทัศนคติของตนเอง ซึ่งเป็นผลมาจากการปลูกฝังโดยคุณพ่อคุณแม่หรือผู้เลี้ยงดู
รวมทั้งข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เช่น นิยายรัก ภาพยนตร์รักโรแมนติก
เรื่องเล่าจากชีวิตจริง ฯลฯ ก่อเกิดเป็น “ ความรักในจินตนาการ
” (Imaginary Love) ขึ้นมา หลังจากนั้นสัญชาติญาณในตัวเราจะพยายามทำหน้าที่ของมันเมื่อโอกาสมาถึง
นั่นก็คือ
2. รักแรกพบ (love
at first sight)
จึงเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว
โดยมีตัวกระตุ้นอันทรงพลังที่เรียกว่า แรงขับทางเพศ (sex
drive) ในตัวของเราแต่ละคน
นำทางเราออกแสวงหาบุคคลพิเศษที่มี เสน่ห์ทางเพศ (sex appeal) เป็นที่ถูกตาต้องใจเรา เมื่อสองสิ่งนี้เดินทางมาบรรจบกันก็จะเป็นจุดเริ่มต้นของปฏิกิริยาลูกโซ่ของความรักในขั้นตอนต่อๆไป
3. ความหลงรัก (Infatuation,
Infatuated love)
คนที่กำลังมีความรักในช่วงต้นๆ
เรามักพูดว่า คนๆนั้นกำลัง ตกหลุมรัก ทำให้เห็นภาพได้สมจริงมากขึ้น เพราะคนที่ตกลงไปในหลุมก็มักจะมีอาการบาดเจ็บมากบ้างน้อยบ้าง
บางคนตกลงไปในหลุมที่ลึกจนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองให้ขึ้นมาจากหลุมได้ ส่วนคนที่อาการหนักสักหน่อยก็เปรียบเปรยว่าตกลงไปใน
ห้วงรักเหวลึก คือหนักหนากว่าคนตกหลุมตื้นๆ คนที่กำลังมีความรักในระยะนี้จะหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องคนที่เขาหรือเธอแอบรักจนไม่มีสมาธิในการเรียนหรือทำงาน
แต่จะเต็มไปด้วยแรงปรารถนาที่จะหาโอกาสสร้างสัมพันธภาพรักให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด
เหตุผลหนึ่งเพราะกลัวมีใครจะมาแย่งชิงไปครองเสียก่อน บางรายถึงแม้จะรู้ว่าเขาหรือเธอมีคนรักอยู่แล้วก็ไม่วายที่จะพยายามทำให้คนที่ตนหลงรักเปลี่ยนใจ
ความรักแบบนี้จึงเป็นความหลง
เป็นเรื่องของอารมณ์อันเกิดจากการหลงใหลในเสน่ห์ทางเพศ
4. การเกี้ยวพาราสี (Courting)
เกิดขึ้นได้เมื่อความกล้าอยู่เหนือความกลัว
โดยทั่วไปเพศชายมักเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เริ่มด้วยพฤติกรรมจิตอาสาบริการต่างๆ
ทำทุกอย่างให้ด้วยความยินดี มีความสุขอันเกิดจากความหวัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอีกฝ่ายมีการตอบสนองที่ดี มีความจริงใจไม่หลอกลวง
ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาและการลงทุนไม่นานก็สามารถก้าวไปสู่ขั้นต่อไป
5. ระยะรักหวานซึ้ง (Romance,
Romantic Love)
กระบวนการสร้างสายสัมพันธ์แห่งรักจะเดินหน้าต่อจากขั้นเกี้ยวพาราสีไปสู่การอุทิศทุ่มเทเวลาให้แก่กัน
มีกิจกรรมที่หลากหลายร่วมกันมากขึ้น
เป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายต่างเรียนรู้อุปนิสัยของกันและกัน ตรวจสอบรสนิยม
ค่านิยม ความเชื่อ ปรัชญา เป้าหมายของชีวิต คุณภาพทางความคิดที่ลึกซึ้งมากขึ้น
นับเป็นช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่ดีเพราะจะมีเหตุการณ์ที่น่าประทับใจเกิดขึ้นมากมาย
น่าเสียดายที่ของดีมีน้อย ผลจากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการด้านนี้ พบว่า
อายุขัยเฉลี่ยของความรักระยะ romantic นี้จะยืนยาวอยู่เพียง
6-18 เดือนเท่านั้น
หลังจากนั้นความรู้สึกของคนทั้งสองจะเปลี่ยนไป ทั้งนี้
อาจเป็นเพราะเซลสมองเริ่มดื้อต่อสารเคมีที่ทำให้เกิดความสนุกตื่นเต้นมีชีวิตชีวา
ประกอบกับความแปลกใหม่ น่าท้าทาย ชวนให้ค้นหาลดลง
ในด้านหนึ่งนับเป็นช่วงอันตรายสำหรับฝ่ายหญิงหากคบกับผู้ชายที่เป็นโรคเสพติดรักประเภท
Romantic
love addicts ซึ่งจะได้กล่าวถึงอีกครั้งโดยละเอียดในบทที่ว่าด้วย
โรคเสพติดรัก แต่หากทั้งสองมีความเข้ากันได้ดี
มีหลายอย่างที่เหมาะสมกัน ความรักก็สามารถเดินหน้าเข้าสู่ระยะต่อไปได้
6. ความผูกพัน (Attachment)
เมื่อความรักระหว่างหนุ่มสาวดำเนินมาด้วยดีจนถึงจุดหนึ่ง
ต่างมีความรู้สึกผูกพันกันมากขึ้นจนกระทั่งรู้สึกว่าแยกจากกันไม่ได้
ต้องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยาตลอดไป
เป็นความรู้สึกผูกพันกันทั้งทางร่างกายและจิตใจ
มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันจนถึงระดับที่ไม่ต้องการรอคอยอะไรอีกต่อไป ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือทั้งสองฝ่ายจะเริ่มมีความคิดว่า
ต้องทำให้เกิดความชัดเจนเสียที ก้าวต่อไปจึงเกิดขึ้น นั่นก็คือ
การตัดสินใจและการให้คำมั่นสัญญา
7. การตัดสินใจ (Decision) และ การให้คำมั่นสัญญา (Commitment)
ในขณะที่ความรักกำลังดำเนินไปนั้น
คู่รักทั้งสองจะเกิดความรู้สึกผูกพันต่อกันขึ้นเป็นลำดับ กระทั่งถึงจุดที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเกิดความต้องการที่จะอยู่กับคนรักตลอดไป
จึงต้องตัดสินใจบอกรักกับอีกฝ่าย รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาต่างๆเกี่ยวกับการสร้างอนาคตร่วมกัน
หากเป็นความต้องการที่ตรงกัน เรื่องราวต่อจากนั้นจะง่ายขึ้น แต่หากอีกฝ่ายยังไม่มั่นใจหรือไม่พร้อมด้วยเหตุผลอื่นๆ
ก็อาจมีการประวิงเวลาออกไป ความราบรื่นของความรักในคู่รักแต่ละคู่ย่อมแตกต่างกันไปตามเหตุปัจจัย
ขั้นตอนนี้จึงถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เกิดปัญหาได้มากที่สุดอีกช่วงหนึ่ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฝ่ายหนึ่งเป็นคนรักประเภทเจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจ หึงหวงรุนแรง (Manic
lover)
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในบทที่ว่าด้วย ประเภทของความรัก หากสามารถผ่านด่านนี้ไปได้ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป
8. ความผูกพันอันเกิดจากความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง
(Intimacy)
เมื่อคู่รักทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความเข้าใจ
ให้เกียรติและจริงใจต่อกัน ความรักของคนทั้งสองจะเจริญงอกงามขึ้นตามกาลเวลา
ยากที่จะมีสิ่งใดมาขวางกั้น นอกจากอุบัติเหตุทางอารมณ์ที่เกิดจากความประมาทพลั้งเผลอ
9.
ความรักขั้นสมบูรณ์ (Consummate
love)
เป็นความรักที่มีองค์ประกอบหลักครบ
แต่สัดส่วนอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง เช่น ความรักแบบเสน่หาหรือความต้องการทางเพศลดน้อยถอยลงตามวัยที่มากขึ้นในขณะที่ความผูกพันทางใจ
ความเป็นเพื่อนคู่ใจ (Companionate lover) และความมั่นคงต่อสัญญาใจระหว่างกันมีเพิ่มมากขึ้น
คู่รักใดที่ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆในชีวิตมาถึงจุดนี้ได้ ย่อมหมายความว่า ได้เดินทางมาถึงจุดหมายปลายทางแห่งรักแล้ว
คู่รักทั้งสองจะเกิดความปีติและอิ่มเอมใจในรักขั้นสูงสุด อย่างไรก็ตาม
ความรักขั้นนี้ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นในวัยสูงอายุ หากคู่รักนั้นมีปัจจัยเกื้อหนุนเพียงพอ
ความรักก็จะมีพัฒนาการได้อย่างรวดเร็ว ในทางกลับกัน
คู่รักสูงวัยจำนวนไม่น้อยกลับมีความไม่ลงรอยกัน ทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำจนบั่นทอนความสุขในชีวิตบั้นปลายอย่างน่าเสียดาย
สำหรับท่านที่กำลังมีความรักอยู่ในเวลานี้
ความรักของท่านเดินทางมาถึงขั้นตอนที่เท่าไหร่แล้วครับ
ครั้งต่อไปเป็นหัวข้อที่ถือได้ว่า
เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความรักขึ้น “ เสน่ห์ทางเพศและความมีเสน่ห์
”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น